คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3278/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กรณีที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ต้องเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติเฉพาะแต่ตามหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรง ตามที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่นั้นๆ เท่านั้น ถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของพนักงานผู้นั้นโดยตรงแล้วย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตราดังกล่าว
การที่จะมีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องหรือไม่ฟ้องผู้ต้องหาตามความเห็นแย้งของอธิบดีกรมตำรวจนั้น เป็นอำนาจของอธิบดีกรมอัยการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 เมื่อได้ความว่าจำเลยได้ลอบทำบันทึกส่งไม่ฟ้อง จ.กับพวก และมีหนังสือแจ้งคำสั่งไม่ฟ้องไปยังอธิบดีกรมตำรวจภายหลังจากวันที่จำเลยพ้นจากการเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมอัยการแล้ว การกระทำดังกล่าวจึงไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
จำเลยเป็นพนักงานอัยการตำแหน่งรองอธิบดีกรมอัยการ แม้จะพ้นจากการเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมอัยการแล้ว แต่รู้อยู่แล้วว่า อธิบดีกรมอัยการคนก่อนได้มีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง จ.กับพวก ตามความเห็นแย้งของอธิบดีกรมตำรวจ ระหว่างที่จำเลยยังไม่ได้มอบงานให้ ก.รองอธิบดีกรมอัยการซึ่งจะเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งอธิยดีกรมอัยการแทนจำเลย จำเลยย่อมมีหน้าที่ดูแลปฏิบัติการให้เป็นไปตามคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องคดีของอธิบดีกรมอัยการคนก่อนซึ่งได้สั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่จำเลยกลับลอบทำบันทึกสั่งไม่ฟ้อง จ.กับพวก แล้วสอบแจ้งคำสั่งไม่ฟ้องนั้นไปยังอธิบดีกรมตำรวจซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยมีเจตนาป้องกันหรือขัดขวางมิให้การเป็นไปตามคำสั่งของอธิบดีกรมอัยการคนก่อน เพื่อจะช่วย จ.กับพวก มิให้ต้องโทษ จนอธิบดีกรมตำรวจได้แจ้งคำสั่งของจำเลยดังกล่าวให้ผู้ร้องทุกข์และผู้ต้องหาทราบทุกคนแล้ว เช่นนี้ จำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 165,200
เมื่ออธิบดีกรมอัยการชี้ขาดให้ฟ้องคดีตามความเห็นแย้งของอธิบดีกรมตำรวจแล้ว คำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องคดีของกรมอธิบดีกรมอัยการเป็นอันถึงที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 พนักงานอัยการต้องฟ้องคดีไปตามนั้น เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ให้อำนาจอธิบดีกรมอัยการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาชี้ขาดใหม่ได้ อธิบดีกรมอัยการจึงไม่มีอำนาจที่จะชี้ขาดกลับคำสั่งของตนได้อีก
ฟ.เป็นพนักงานอัยการ กรมอัยการ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัยการพิเศษประจำกรม กองคดี กรมอัยการ และอธิบดีกรมอัยการสั่งให้ปฏิบัติราชการในหน้าที่ผู้ช่วยอัยการพิเศษฝ่ายคดี (อาญา) รับผิดชอบฐานอุทธรณ์ ส่วน ย. เป็นพนักงานอัยการได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัยการพิเศษประจำกรม กองคดี กรมอัยการ และอธิบดีกรมอัยการได้สั่งให้ปฏิบัติราชการในหน้าที่หัวหน้าพนักงานอัยการ พนักงานอัยการกอง 7 กับมีระเบียบว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาชั้นอุทธรณ์และฎีกาในส่วนราชการใดของกรมอัยการ ให้เป็นไปตามที่อธิบดีกรมอัยการมีคำสั่ง การที่อธิบดีกรมอัยการสั่งในคำชี้ขาดในฎีกาว่า ให้ ฟ. และ ย. ร่วมกันทำฎีกาส่งมาให้รับรองเพื่อส่งศาลฎีกาต่อไป ถือได้ว่าอธิบดีกรมอัยการทำคำสั่งเฉพาะเรื่องตามพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. 2498 มาตรา 15 ให้ ฟ. และ ย. มีอำนาจดำเนินคดีนี้ในชั้นฎีกา ตามนัยดังกล่าว ฟ.จึงมีอำนาจลงชื่อเป็นผู้ฎีกา และ ฟ.กับย.มีอำนาจลงชื่อเป็นผู้เรียงได้ในคำฟ้องฎีกา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องใจความสำคัญว่า เมื่อวันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ระหว่างวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๑๘ ถึงวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๑๘ จำเลยพ้นจากตำแหน่งผู้รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมอัยการเป็นชั่วคราวแล้ว แต่ยังดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมอัยการอยู่ ซึ่งเป็นพนักงานอัยการตามกฎหมาย มีหน้าที่ปฏิบัติการให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งซึ่งได้สั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย จ.เลย ได้กระทำผิดต่อกฎหมาย กล่าวคือ จำเลยเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ ได้กระทำการในตำแหน่งอันมิชอบ ได้บังอาจลอบทำบันทึกสั่งไม่ฟ้องพลตำรวจตรีหม่อมราชวงศ์เจตจันทร์ ประวิตร หม่อมหลวงฉันแข ดารากร และนายเทียบ ศรีนาคคล้ำ ผู้ต้องหา ทั้งสามสำนวน โดยจำเลยอ้างว่าสั่งในฐานะผู้รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมอัยการ ภายหลังวันที่จำเลยพ้นจากการเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมอัยการแล้ว โดยไม่มีเหตุหรืออำนาจตามกฎหมาย เพื่อป้องกันขัดขวางมิให้เป็นไปตามกฎหมายหรือคำสั่งที่นายโปร่ง เปล่งศรีงาม อธิบดีกรมอัยการ ได้มีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย เพื่อจะช่วยพลตำรวจตรีหม่อมราชวงศ์เจตจันทร์ ประวิตร หม่อมหลวงฉันแข ดารากร และนายเทียน ศรีนาคคล้ำ มิให้ต้องโทษถูกต้องและรับโทษในคดีอาญา โดยจำเลยไม่ได้เรียกสำนวนการสอบสวนทั้งสามจากพนักงานอัยการมาสั่งในสำนวน แล้วจำเลยสอบมีหนังสือแจ้งคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีทั้งสามสำนวนนั้น ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่กรมอัยการ กรมตำรวจ และผู้อื่น เหตุเกิดที่แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗,๑๖๕,๒๐๐ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๓
จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้กระทำผิดตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า จำเลยทำบันทึกคำสั่งไม่ฟ้องพลตำรวจตรี หม่อมราชวงศ์เจตจันทร์ ประวิตร กับพวก ในขณะที่จำเลยเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมอัยการ คำสั่งนั้นจะชอบด้วยกฎหมายและมีผลบังคับได้เพียงไรหรือไม่ ไม่เป็นมูลที่โจทก์กล่าวหาจำเลยในคดีนี้ จึงไม่มีประเด็นวินิจฉัย พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลย พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้นว่า จำเลยทำบันทึกสั่งไม่ฟ้องพลตำรวจตรีหม่อมราชวงศ์เจตจันทร์ ประวิตร กับพวก ในขณะที่จำเลยยังไม่พ้นจาาการเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมอัยการ หาได้ลอบทำภายหบังจากวันที่จำเลยพ้นจากการเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมอัยการแล้วไม่ และเมื่อได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงเช่นนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นอื่นตามที่โจทก์อ้างในอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกาโดยอธิบดีกรมอัยการรับรองว่ารูปคดีมีเหตุผลอันสมควรที่ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัย
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ลอบทำบันทึกสั่งไม่ฟ้องพลตำรวจตรี หม่อมราชวงศ์เจตจันทร์ ประวิตร หม่อมหลวงฉันแข ดารากร และนายเทียบ ศรีนาคคล้ำ ผู้ต้องหาทั้ง ๓ สำนวน ลบล้างคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องของนายโปร่ง เปล่งศรีงาม อธิบดีกรมอัยการซึ่งได้ลาออกจากราชการไปแล้วตามความเห็นแย้งของอธิบดีกรมตรำวจ และคำสั่งนั้นถึงที่สุดแล้ว โดยไม่มีเหตุอันชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นนโยบายของรัฐบาลโดยได้รับคำสั่งชัดแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร ในอันที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นมาสั่งไม่ฟ้องอีกได้ แล้วลอบแจ้งคำสั่งไม่ฟ้องไปยังอธิบดีกรมตำรวจ ภายหลังจากวันที่จำเลยพ้นจากการเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมอัยการแล้ว แต่ยังดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมอัยการอยู่ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า
ที่จำเลยอ้างว่านายฟ้อย มะลิขาว พนักงานอัยการหัวหน้ากองอุทธรณ์และนายโยธิน เกษมทรัพย์ พนักงานอัยการกองอุทธรณ์ ไม่มีอำนาจลงชื่อเป็นโจทก์และผู้เรียงนั้น เห็นว่านายฟ้อย มะลิขาว พนักงานอัยการ กรมอัยการได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัยการพิเศาประจำกรม กองคดี กรมอัยการ ตั้งแต่วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๑๘ ตามเอกสารหมายเลข ๑ ท้ายคำแถลงคัดค้าน และอธิบดีกรมอัยการสั่งให้ปฎบัติราชการในหน้าที่ผู้ช่วยอัยการพิเศษฝ่ายคดี (อาญา) รับผิดชอบงานอุทธรณ์ตามเอกสารหมายเลข ๔ ท้ายคำแถลงคัดค้าน ส่วนนายโยธิน เกษมทรัพย์ ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอัยการพิเศษประจำกรม กองคดี กรมอัยการ ตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องแต่งตั้งข้าราชการอัยการ ลงวันที่ ๑๖ มีนาคม ๒๕๒๑ ตามเอกสารหมายเลข ๒ ท้ายคำแถลงคัดค้าน และอธิบดีกรมอัยการได้สั่งให้ปฏิบัติราชการในหน้าที่หัวหน้าพนักงานอัยการ กอง ๗ ตามเอกสารหมายเลข ๕ ท้ายคำแถลงคัดค้าน กับยังมีระเบียบว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาชั้นอุทธรณ์และฎีกาของพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๒๐ ตามเอกสารหมายเลข ๓ ท้ายคำแถลงคัดค้าน ข้อ ๔ กำหนดว่า พนักงานอัยการชั้นอุทธรณ์และฎีกาผู้ใดจะมีอำนาจหน้าที่ดำเนินคดีอาญาชั้นอุทธรณ์และฎีกาในส่วนราชการใดของกรมอัยการให้เป็นไปตามที่อธิบดีกรมอัยการมีคำสั่ง ทั้งพระราชบัญญัติพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๕ ยังบัญญัติว่า “ในการใช้อำนาจหรือกระทำหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาหรือกฎหมายอื่น ให้อธิบดีมีอำนาจทำคำสั่งเฉพาะเรื่อง หรือวางระเบียบไว้ให้พนักงานอัยการปฏิบัติการได้” ดังนั้นการที่นายประเทือง กีรติบุตร อธิบดีกรมอัยการสั่งในคำชี้ขาดให้ฎีกาว่า ให้นายฟ้อย มะลิขาว และนายโยธิน เกษมทรัพย์ ร่วมกันทำฎีกาส่งมาให้รับรอง เพื่อส่งศาลฎีกาต่อไป จึงถือได้ว่านายประเทือง กีรติบุตร ทำคำสั่งเฉพาะเรื่องให้นายฟ้อย มะลิขาว และนายโยธิน เกษมทรัพย์ มีอำนาจดำเนินคดีในชั้นฎีกา ข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยอ้างว่าอธิบดีกรมอัยการจะลงชื่อรับรองฎีกาได้จะต้องมีเหตุอันสมควรที่ศาลฎีกาอาจเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลล่างได้ด้วยนั้น เห็นว่าเหตุเหล่านี้ได้มีอยู่ในบันทึกของกองที่ปรึกษากฎหมายผ่านรองอธิบดีกรมอัยการ ถึงอธิบดีกรมอัยการ ตามเอกสารหมายเลข ๗ ท้ายคำแถลงการณ์คัดค้านแล้ว ไม่จำต้องกล่าวถึงเหตุนี้ไว้ในหนังสือรับรองฎีกา ข้ออ้างของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
เมื่ออธิบดีกรมอัยการขี้ขาดให้ฟ้องคดีตามความเห็นแย้งของอธิบดีกรมตำรวจแล้วคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องคดีของอธิบดีกรมอัยการเป็นอันถึงที่สุด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา ๑๔๕ ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๓๓ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ ข้อ ๑ พนักงานอัยการต้องฟ้องคดีไปตามนั้น เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายที่ให้อำนาจอธิบดีกรมอัยการรื้อฟื้นคดีขึ้นมาชี้ขาดใหม่ก็ได้อธิบดีกรมอัยการจึงไม่มีอำนาจที่จะชี้ขาดกลับคำสั่งของตนได้อีก สำหรับคดีพลตำรวจหม่อมราชวงศ์เจตจันทร์กับพวกผู้ต้องหารวม ๓ สำนวน ดังกล่าวนั้น นายโปร่งอธิบดีกรมอัยการซึ่งได้ลาออกจากราชการไปแล้วได้มีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องผู้ต้องหาทั้ง ๓ สำนวน ตามความเห็นแย้งของอธิบดีกรมตำรวจแล้ว เหตุนี้แม้จำเลยจะเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมอัยการ จำเลยก็ไม่มีอำนาจที่จะชี้ขาดใหม่เป็นไม่ฟ้อง
ปัญหาวินิจฉัยข้อสุดท้ายมีว่า จำเลยจะมีความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์ฟ้องหรือไม่เพียงใด โจทก์ฟ้องอ้างว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานในตำแหน่งพนักงานอัยการ ได้กระทำการในตำแหน่งอันมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๓ เห็นว่าที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าวนั้น จะต้องเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติเฉพาะแต่ตามหน้าที่ของเจ้าพนักงานผู้นั้นโดยตรง ตามที่ได้รับมอบหมายให้มีหน้าที่นั้นๆ เท่านั้น ถ้าไม่เกี่ยวกับหน้าที่ของพนักงานผู้นั้นโดยตรงแล้ว ย่อมไม่เป็นความผิดตามมาตราดังกล่าว การที่จะมีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องหรือไม่ฟ้องผู้ต้องหาตามความเห็นแย้งของอธิบดีกรมตำรวจนั้น เป็นอำนาจของอธิบดีกรมอัยการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๔๕ ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๓๓๓ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๑๕ ข้อ ๑ เมื่อได้ความว่าจำเลยได้ลอบทำบันทึกสั่งไม่ฟ้องพลตำรวจตรีหม่อมราชวงศ์เจตจันทร์ กับพวก และมีหนังสือแจ้งคำสั่งไม่ฟ้องไปยังอธิบดีกรมตำรวจภายหลังจากวันที่จำเลยพ้นจากการเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมอัยการแล้ว การกระทำดังกล่าวจึงไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของจำเลย จำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๕๐๒ มาตรา ๑๓ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด แต่การที่จำเลยซึ่งดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมอัยการรู้อยู่แล้วว่า นายโปร่งอธิบดี กรมอัยการคนก่อนได้มีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องพลตำวจตรีหม่อมราชวงศ์เจตจันทร์กับพวกผู้ต้องหาทั้ง ๓ สำนวน ในระหว่างที่จำเลยยังไม่ได้มอบงานให้นายเกียรติรองอธิบดีกรมอัยการซึ่งจะเป็นผู้รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมอัยการแทนจำเลย จำเลยจึงมีหน้าที่ดูแลปฏิบัติงานให้เป็นไปตามคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้องคดีนายโปร่งดังกล่าวซึ่งได้สั่งเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย แต่จำเลยกลับกระทำการดังได้วินิจฉัยมาแล้ว ย่อมเห็นได้ว่าจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาป้องกันหรือขัดขวางมิให้การเป็นไปตามคำสั่งนั้น เพื่อจะช่วยพลตำรวจตรีหม่อมราชวงศ์เจตจันทร์กับพวกผู้ต้องหาทั้ง ๓ สำนวนมิให้ต้องโทษ จำเลยจึงต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๕,๒๐๐ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน แต่เมื่อได้พิเคราะห์ถึงสภาพแห่งการกระทำความผิดและพฤติการณ์อย่างอื่นตามฟ้องสำนวนกับพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ประกอบกับประวัติของจำเลยที่ได้รับราชการมาเป็นเวลานานและทำคุณประโยชน์ให้แก่ทางราชการตลอดมา จนได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้รักษาการในตำแหน่งอธิบดีกรมอัยการ สมควรลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา
พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๖๕,๒๐๐ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๐๐ อันเป็นบทหนักตามมาตรา ๙๐ ให้จำคุก ๖ เดือน ปรับ ๒,๐๐๐ บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๑ ปี ตามมาตรา ๕๖ ไม่เสียค่าปรับให้จัดการตามมาตรา ๒๙,๓๐ คำขอนอกจากนี้ให้ยกเสีย.

Share