คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 326/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกยืนล้อมผู้เสียหายทั้งสองอยู่ในห้องที่เกิดเหตุในระยะใกล้ ส่วนผู้เสียหายยืนอยู่ห่างกันเพียง 5 เมตร ครั้นผู้เสียหายทั้งสองถูกคนเอาผ้าคลุมศรีษะแล้ว จำเลยกับพวกก็กลุ้มรุมทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองทันทีในเวลาใกล้ชิดกันตามพฤติการณ์พอถือว่าจำเลยได้ลงมือกระทำผิดพร้อมกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 297, 83

จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ

นายปรีชา น่วมทนง ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 ให้จำคุกคนละ 2 เดือน และมีความผิดตามมาตรา 297 อีกกระทงหนึ่งให้จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน รวมจำคุกจำเลยทั้งหกคนละ 1 ปี 8 เดือน

จำเลยทั้งหกอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ซึ่งเป็นบทหนัก จำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปี 6 เดือน จำเลยนอกนั้นจำคุก คนละ 8 เดือน ให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 คนละ 2 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาว่าจำเลยทั้งหกทำร้ายผู้เสียหายแต่ละคนเป็นสองคราว ประกอบกับสภาพของการกระทำและเจตนาของผู้กระทำผิดแล้วสามารถแยกเป็นคนละกรรมต่างกัน ซึ่งจะต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป และไม่ควรรอการลงโทษจำเลยนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยกับพวกยืนล้อมผู้เสียหายทั้งสองอยู่ในห้องที่เกิดเหตุในระยะใกล้ ส่วนผู้เสียหายยืนอยู่ห่างกันเพียง 5 เมตร ครั้นผู้เสียหายทั้งสองถูกผ้าคลุมศีรษะแล้ว จำเลยทั้งหกกับพวกก็กลุ้มรุมทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองทันทีในเวลาใกล้ชิดกัน ตามพฤติการณ์พอถือว่าจำเลยได้ลงมือกระทำผิดพร้อมกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษและกำหนดโทษจำเลยทั้งหกนั้น ชอบและเหมาะสมกับรูปคดีแล้ว แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีไม่สมควรที่จะรอการลงโทษจำเลย

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่ให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 นั้น เป็นไม่รอการลงโทษ นอกจากที่แก้นี้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share