คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 62/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผ. ยกที่พิพาทให้มัสยิดโจทก์ โจทก์ครอบครองเก็บค่าเช่าตลอดมาผ. ถึงแก่กรรมโดยไม่ได้จดทะเบียนยกให้ เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเรื่องครอบครองปรปักษ์กรรมการโจทก์จึงประชุมให้จำเลยทั้งสองรับโอนที่ดินพิพาทในฐานะทายาทของ ผ. เสียก่อน แล้วให้จำเลยทั้งสองโอนให้โจทก์ จำเลยทั้งสองรับโอนที่ดินพิพาทในฐานะทายาทแล้วจำเลยที่ 1 ไม่ยอมโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ ดังนี้จำเลยที่ 1 มีชื่อในโฉนดก็เพื่อความสะดวกในการที่จะโอนให้โจทก์ต่อไป ไม่มีสิทธิใดๆ ในที่พิพาทโจทก์ชอบที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการรับโอนของจำเลยที่ 1 ได้
โจทก์เป็นมัสยิดอิสลามการได้ที่ดินมาของโจทก์ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อยังไม่ปรากฏว่าได้รับอนุญาตแล้วกรณีก็ไม่อาจบังคับตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทในโฉนดได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นางเผือก ทองทา ยกกรรมสิทธิ์ที่ดิน 6 โฉนด ให้แก่มัสยิดโจทก์ โจทก์ครอบครองมาจนได้กรรมสิทธิ์ นางเผือกถึงแก่กรรมแล้วต่อมาจำเลยทั้งสองหลอกลวงให้ลงชื่อจำเลยทั้งสองรับมรดกนางเผือกก่อน แล้วให้จำเลยทั้งสองโอนให้โจทก์อีกต่อหนึ่ง จำเลยทั้งสองรับโอนมรดกที่ดินพิพาทแล้วจำเลยที่ 1ไม่โอนให้โจทก์ ต่อมาพบพินัยกรรมที่นางเผือกทำยกที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์จำเลยที่ 1 ทราบแล้วก็เพิกเฉย จึงขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนของจำเลยถอนชื่อจำเลยทั้งสองออกจากโฉนดที่ดินดังกล่าวแล้วใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของถ้าจำเลยไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง

จำเลยที่ 1 ให้การและเพิ่มเติมคำให้การว่า นางเผือกมิได้ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์ไม่ได้ครอบครอง จำเลยที่ 1 ครอบครองในฐานะทายาทของนางเผือกไม่โอนที่พิพาทให้โจทก์เพราะโจทก์ไม่ให้เงินจำเลยที่ 1 ตามข้อตกลงพินัยกรรมขาดอายุความและเป็นโมฆะ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เป็นความจริง เพื่อมิให้โจทก์ต้องเสียค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในการร้องขอต่อศาลเพื่อขอจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ในฐานะครอบครองที่ดินเกิน 10 ปี จำเลยทั้งสองจึงตกลงกับกรรมการโจทก์ให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้ขอรับมรดกแล้วจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ ถ้าจำเลยที่ 2ทราบว่า นางเผือกทำพินัยกรรมไว้ จำเลยที่ 2 จะไม่ลงชื่อรับมรดก

โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ศาลสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามคำขอท้ายฟ้อง

จำเลยที่ 1 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาอย่างเดียวกับศาลชั้นต้น แต่ให้บังคับเฉพาะจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 1 ฎีกา

ศาลฎีกาฟังว่า นางเผือกทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองยกที่พิพาทให้โจทก์จริง ทั้งได้ยกให้โจทก์ครอบครองเก็บค่าเช่าตลอดมาจนกระทั่งถึงแก่กรรมแต่ไม่ได้จดทะเบียนยกให้ กรรมการโจทก์เห็นว่าต้องตั้งทนายดำเนินคดีเรื่องครอบครองที่พิพาทโดยปรปักษ์เป็นการเสียค่าใช้จ่ายมาก จึงทำตามที่จำเลยที่ 1เสนอ คือให้จำเลยที่ 1 รับมรดกของนางเผือกเสียก่อน แล้วจำเลยที่ 1 จะโอนที่พิพาทกลับคืนมาให้โจทก์ และวินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ 1 มีชื่อโฉนดทั้ง 6โฉนดดังกล่าวหาได้กระทบกระเทือนถึงสิทธิของโจทก์ตามพินัยกรรมไม่ เพราะจำเลยที่ 1 มีชื่อในที่พิพาททั้ง 6 โฉนดก็เพื่อความสะดวกที่จะโอนไปให้โจทก์ต่อไป โดยจำเลยที่ 1 มิได้มีสิทธิใด ๆ ในที่พิพาททั้ง 6 โฉนดดังกล่าวแต่อย่างใดโจทก์ชอบที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าวเสียได้

ส่วนคำขอของโจทก์ที่ให้ใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาททั้ง 6 โฉนดนั้นเห็นได้ว่าเป็นการได้มาซึ่งที่ดินของโจทก์ซึ่งเป็นมัสยิดอิสลาม การเช่าว่านี้ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามพยานหลักฐานของโจทก์ ได้ความแต่เพียงว่าอยู่ระหว่างรออนุญาต ยังไม่ปรากฏว่าได้รับอนุญาตแล้วหรือไม่กรณีจึงไม่อาจบังคับตามคำขอของโจทก์ข้อนี้ได้

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินที่พิพาททั้ง 6 โฉนดตามฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ให้นางเผือก ทองทา เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ดังเดิม คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยก

Share