แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่สามารถส่งมอบสิ่งของลวดห้ามที่มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดในสัญญาให้แก่โจทก์ทั้ง ๆ ที่โจทก์ให้โอกาสจำเลยส่งมอบสิ่งของที่มีคุณสมบัติถูกต้องแล้ว โจทก์จึงบอกเลิกสัญญา ดังนี้โจทก์คงมีสิทธิริบหลักประกันและเรียกราคาที่เพิ่มขึ้นได้ตามสัญญาข้อ 8 วรรคสองเท่านั้น หาใช่กรณีที่จะมีสิทธิปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 นับแต่วันครบกำหนดจนถึงวันบอกเลิกสัญญาตามสัญญาข้อ 9 ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายลวดห้ามกันในราคา113,760 บาท โดยจำเลยผู้ขายต้องส่งมอบสิ่งของแก่โจทก์ผู้ซื้อภายในวันที่ 26 กรกฎาคม 2526 ถ้าไม่ส่งมอบ หรือส่งมอบไม่ถูกต้องหรือไม่ครบจำนวน โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันกับเรียกให้ใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นในกรณีที่ต้องซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นได้ ถ้าไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา จำเลยยอมให้โจทก์ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายส่งมอบสิ่งของถูกต้องครบถ้วน ต่อมาปรากฏว่าจำเลยผิดสัญญาไม่ส่งมอบสิ่งของที่ซื้อขายให้แก่โจทก์ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยทั้งสอง ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินให้แก่โจทก์จำนวน 166,603.60 บาท พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน40,330 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่าเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2526 จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการได้ทำสัญญาขายลวดห้ามแก่โจทก์เป็นเงิน 113,760 บาทกำหนดส่งมอบภายใน 120 วันนับแต่วันทำสัญญารายละเอียดปรากฏตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.4 เมื่อถึงกำหนดจำเลยได้ส่งสิ่งของให้โจทก์ แต่สิ่งของมีคุณสมบัติไม่ตรงตามข้อกำหนด โจทก์จึงไม่รับและจำเลยก็มิได้ส่งให้แก่โจทก์อีกทั้ง ๆ ที่โจทก์ได้มีหนังสือแจ้งเตือนให้จำเลยนำมาส่งถึง 2 ครั้ง ต่อมาวันที่ 31 มกราคม 2528โจทก์ได้มีหนังสือบอกเลิกสัญญาตามเอกสารหมาย จ.6 ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์มีสิทธิเรียกค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 จากจำเลย นับแต่วันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันบอกเลิกสัญญาหรือไม่ ตามสัญญาข้อ 8 วรรคแรกระบุว่า เมื่อครบกำหนดส่งมอบสิ่งของตามสัญญานี้แล้ว ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบสิ่งของที่ตกลงขายให้แก่ผู้ซื้อ หรือส่งมอบสิ่งของทั้งหมดไม่ถูกต้องหรือส่งมอบสิ่งของไม่ครบจำนวน ผู้ซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้วรรคสองระบุว่า ในกรณีที่ผู้ซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อริบหลักประกันตามสัญญาข้อ 7 เป็นจำนวนเงินทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้แล้วแต่ผู้ซื้อจะเห็นสมควร และถ้าผู้ซื้อจัดซื้อสิ่งของจากบุคคลอื่นเต็มจำนวนหรือเฉพาะจำนวนที่ขาดส่งแล้วแต่กรณีภายในกำหนด 6 เดือน นับแต่วันที่บอกเลิกสัญญา โดยให้นับวันที่บอกเลิกสัญญาเป็นวันเริ่มต้น ผู้ขายยอมรับผิดชดใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นจากราคาที่กำหนดไว้ในสัญญานี้ด้วย ส่วนสัญญาข้อ 9 วรรคแรก ระบุว่าในกรณีที่ผู้ซื้อไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับแต่วันถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันที่ผู้ขายได้นำสิ่งของมาส่งให้แก่ผู้ซื้อจนถูกต้องครบถ้วน วรรคสามระบุว่าในระหว่างที่มีการปรับนั้น ถ้าผู้ซื้อเห็นว่าผู้ขายไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้ ผู้ซื้อจะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและริบหลักประกันตามสัญญาข้อ 7 กับเรียกร้องให้ใช้ราคาเพิ่มขึ้นตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 8 วรรคสอง นอกเหนือจากการปรับจนถึงวันบอกเลิกสัญญาด้วยก็ได้ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาที่ไม่สามารถส่งมอบสิ่งของลวดห้ามที่มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดในสัญญาให้แก่โจทก์ ทั้ง ๆ ที่โจทก์ให้โอกาสจำเลยส่งมอบสิ่งของที่มีคุณสมบัติถูกต้องแล้ว โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาจะริบหลักประกัน กรณีจึงต้องด้วยข้อ 8 วรรคสอง ซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะริบหลักประกันและเรียกราคาที่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้น แม้ก่อนที่โจทก์จะบอกเลิกสัญญา จำเลยได้ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ก็ตาม แต่โจทก์ก็มิได้รับเอาไว้เนื่องจากเป็นการส่งมอบสิ่งของที่มีคุณสมบัติไม่ถูกต้องตามที่สัญญากำหนดไว้ย่อมถือได้ว่าจำเลยมิได้ส่งมอบสิ่งของตามสัญญาเลยจึงไม่ใช้เรื่องที่จำเลยส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้องตามสัญญาและโจทก์ยอมรับไว้โดยจะใช้สิทธิปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ตามที่ระบุไว้ในสัญญาข้อ 9แต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกค่าปรับเป็นรายวันจากจำเลย…”
พิพากษายืน.