คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6294/2545

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยเป็นผู้อาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาท ไม่ใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีที่ ล. มารดาโจทก์ฟ้องบังคับให้ ท. จดทะเบียนโอนที่ดิน การที่จำเลยกับ ล. ทำหนังสือสัญญากันระบุว่า ล. จะจดทะเบียนแบ่งแยกโอนที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินในคดีที่ ล. พิพาทกับ ท. ให้แก่จำเลยเมื่อคดีถึงที่สุดกับให้เงินสดแก่จำเลยเพื่อตอบแทนที่จำเลยไปเบิกความเป็นพยานให้นั้น แสดงว่าจำเลยยอมไปเบิกความเป็นพยานก็โดยเห็นแก่ประโยชน์ที่จะได้ที่ดินพิพาทและเงินจาก ล. เป็นการตอบแทน จึงเป็นการที่จำเลยแสวงหาประโยชน์จากการเป็นความของบุคคลอื่น ข้อตกลงตามหนังสือสัญญาจึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 150
โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป แต่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยใช้ค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจึงเกินคำขอของโจทก์ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246,247

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสี่ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 85 ตำบลบ้านเป้า อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่นห้ามเข้ามาเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่เดือนละ 2,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านและที่ดิน

จำเลยให้การและฟ้องแย้งกับแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่า จำเลยได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 85 ตำบลบ้านเป้า อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น ทิศเหนือยาว 40 เมตร จดที่ดินของกรมตำรวจ ทิศใต้ยาว 40 เมตร จดที่ดินแปลงเดิม ทิศตะวันออกยาว 80 เมตรจดทางสาธารณประโยชน์ ทิศตะวันตกยาว 80 เมตร จดที่ดินแปลงเดิม ห้ามโจทก์ทั้งสี่และบริวารเกี่ยวข้องอีกต่อไปและให้โจทก์ทั้งสี่ทำนิติกรรมจดทะเบียนแบ่งแยกโอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยภายใน 30 วัน นับแต่วันพิพากษา หากไม่ปฏิบัติตามขอให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ทั้งสี่

โจทก์ทั้งสี่ให้การแก้ฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 85 ตำบลบ้านเป้า อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่นและใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท แก่โจทก์ทั้งสี่ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท ยกฟ้องแย้งของจำเลย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสี่มีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 85 ตำบลบ้านเป้า อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่นเนื้อที่ 14 ไร่ 2 งาน 77 ตารางวา เดิมมีคุณหญิงห่วง ทรงสุรเดช เป็นเจ้าของ จำเลยปลูกบ้านอาศัยอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินพิพาทต่อมาที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวตกเป็นมรดกแก่นางเทพีเศวตนาค นางเทพีได้ขายที่ดินให้แก่นางไล โพธิโชติ มารดาโจทก์ทั้งสี่ แต่นางเทพีไม่ยอมจดทะเบียนโอนให้ นางไลจึงฟ้องบังคับให้นางเทพีจดทะเบียนโอน จำเลยได้เบิกความเป็นพยานให้นางไลในคดีดังกล่าว โดยมีข้อตกลงว่านางไลจะโอนที่ดินพิพาทเนื้อที่2 ไร่ กับเงินสดอีก 100,000 บาท ให้แก่จำเลยเมื่อคดีถึงที่สุดเป็นการตอบแทน โดยได้ทำหนังสือสัญญาไว้ ต่อมาศาลฎีกามีคำพิพากษาให้นางไลชนะคดี แต่นางไลถึงแก่กรรมระหว่างดำเนินคดี โจทก์ทั้งสี่ในฐานะทายาทของนางไลได้จดทะเบียนรับโอนที่ดินตามคำพิพากษาแล้วปฏิเสธไม่โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยคดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า ข้อตกลงตามหนังสือสัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะหรือไม่ ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า จำเลยเป็นเพียงผู้อาศัยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาท ไม่ใช่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีที่นางไลมารดาโจทก์ทั้งสี่ฟ้องบังคับให้นางเทพีจดทะเบียนโอนที่ดินดังนี้ การที่จำเลยกับนางไลทำหนังสือสัญญากันระบุว่านางไลจะจดทะเบียนแบ่งแยกโอนที่ดินพิพาทเนื้อที่ 2 ไร่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินในคดีที่นางไลพิพาทกับนางเทพีให้แก่จำเลยเมื่อคดีถึงที่สุดกับให้เงินสดอีก 100,000 บาท แก่จำเลยเพื่อตอบแทนที่จำเลยไปเบิกความเป็นพยานให้นั้น แสดงว่าจำเลยยอมไปเบิกความเป็นพยานก็โดยเห็นแก่ประโยชน์ที่จะได้ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 2 ไร่ และเงินสดอีก 100,000 บาท จากนางไลเป็นการตอบแทนเช่นนี้ จึงเป็นการที่จำเลยแสวงหาประโยชน์จากการเป็นความของบุคคลอื่น ข้อตกลงตามหนังสือสัญญาจึงเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 113 เดิม (มาตรา 150 ที่แก้ไขใหม่)ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง คดีนี้โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปการที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจึงเกินคำขอของโจทก์ ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246, 247”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสี่นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share