แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่จำเลยอ้างว่าไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้อง ไม่ได้แต่งทนายความ สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทนายความทำแทนจำเลยไม่ผูกพันจำเลย คำพิพากษาตามยอมไม่อาจบังคับจำเลยได้ ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าวซึ่งเป็นเวลาหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมแล้วและมิใช่จำเลยแพ้คดีเพราะขาดนัดพิจารณาจำเลยจึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น และ ขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ หากจำเลยได้รับความเสียหายอย่างไรก็ย่อมมีสิทธิฟ้องบุคคลที่เกี่ยวข้อง ขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีนี้ไม่ผูกพันตนได้.
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้ จำเลยทั้งสองตกลงยอมชำระเงิน 30,000 บาท โดยผ่อนชำระแก่โจทก์ ต่อมาจำเลยทั้งสองผิดนัด โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลยที่ 1 และประกาศขายทอดตลาดนำเงินไปชำระหนี้แก่โจทก์เรียบร้อยแล้ว
วันที่ 26 กันยายน 2531 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 มิได้ขาดนัดพิจารณา จึงไม่อาจขอให้พิจารณาใหม่ได้ ให้ยกคำร้อง
วันที่ 30 กันยายน 2531 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาคดีทั้งหมด แล้วดำเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่ตามรูปคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลมีคำพิพากษาแล้ว จึงไม่อาจเพิกถอนกระบวนพิจารณาได้ ให้ยกคำร้อง
วันที่ 10 ตุลาคม 2531 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันนั้น จำเลยที่ 1 ไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญากู้ โจทก์และจำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันปลอมขึ้นทั้งฉบับ เมื่อโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ได้รับหมายเรียกเพราะจำเลยที่ 1ไปทำไร่อยู่ที่จังหวัดปราจีนบุรี รายงานของเจ้าหน้าที่ที่ว่าจำเลยที่ 1 รับหมายและสำเนาฟ้องเองจึงไม่ชอบ จำเลยที่ 1 ไม่ได้แต่งตั้งทนายความดำเนินคดีแทน จำเลยที่ 2 กับพวกร่วมกันปลอมลายมือชื่อจำเลยที่ 1 ในใบแต่งทนายความ ที่ทนายความตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความแทนจำเลยที่ 1 จึงไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 1ขอให้ไต่สวนคำร้องของจำเลยที่ 1 และมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่มีผลผูกพันแต่เฉพาะจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ศาลมีคำพิพากษาแล้ว ไม่อาจเพิกถอนกระบวนพิจารณาได้ และไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ฎีกาข้อแรกว่า อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 เป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายชอบที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1จะต้องวินิจฉัย เห็นว่าแม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะวินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้น เป็นอุทธรณ์ไม่ชอบ ไม่รับวินิจฉัยก็ตาม แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็ได้ก้าวล่วงเข้าไปวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ด้วยแล้วว่า จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องจึงชอบแล้ว พิพากษายืนถือได้ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 แล้ว
ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยที่ 1 มีสิทธิขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ในส่วนของจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า การที่จะขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 27 นั้น ต้องขอก่อนศาลนั้นมีคำพิพากษา ส่วนการขอให้พิจารณาใหม่หลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้ว ต้องเป็นเรื่องแพ้คดีเพราะขาดนัดพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207แต่คดีนี้จำเลยที่ 1 อ้างว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้อง ไม่ได้แต่งทนายความสัญญาประนีประนอมยอมความตามที่ทนายความทำแทนจำเลยที่ 1 ไม่ผูกพันจำเลยที่ 1 คำพิพากษาตามยอมไม่อาจบังคับจำเลยที่ 1 ได้ ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นดังกล่าว ซึ่งเป็นเวลาหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมแล้ว และมิใช่จำเลยที่ 1 แพ้คดีเพราะขาดนัดพิจารณา จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นและขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ หากจำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายอย่างไร ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องบุคคลที่เกี่ยวข้องขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีนี้ไม่ผูกพันตนได้
พิพากษายืน.