คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บริษัท บ. จำกัดจ้างจำเลยทั้งสองให้ขนสินค้าไม้ซุงจากประเทศมาเลเซียเข้ามาในประเทศไทย ในการขนส่งสินค้าครั้งนี้บริษัท บ. จำกัดได้ประกันภัยสินค้าไว้กับโจทก์ วิธีการขนส่งสินค้ากระทำโดยขนสินค้าไม้ซุงบรรทุกเรือเดินทะเลของจำเลยที่ 2ชื่อ “สปัน” ซึ่งมีสภาพมั่นคงแข็งแรงเหมาะแก่การใช้ทางทะเลเมื่อเรือสปันแล่นมาถึงบริเวณทะเลที่เกิดเหตุเกิดมรสุมคลื่นลมจัดและมีของแข็งภายนอกเรือมา กระแทก เรือจนเรือรั่วและอัปปางลง ทั้งนี้แม้กัปตันเรือของจำเลยที่ 2 จะได้ใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างดีก็ย่อมไม่มีทางหลีกเลี่ยงมรสุมและการกระทบกระแทกจากของแข็งภายนอกเรือดังกล่าวได้ เหตุเรือรั่วและอัปปางจึงเป็นเหตุสุดวิสัย ตามป.พ.พ. มาตรา 8 คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ กรณีจึงหาใช่แต่จำเลยทั้งสองมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลแห่งคดีเท่านั้นไม่ หากแต่มูลแห่งคดีดังกล่าวเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้ เพราะโจทก์อาจบังคับเอากับจำเลยคนใดคนหนึ่งก็ได้โดยลำพัง ศาลย่อมฟังว่ากรณีเป็นเหตุสุดวิสัยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งว่าเรืออัปปางเกิดจากเหตุสุดวิสัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิของห้างหุ้นส่วนจำกัดศิริวัฒน์ค้าไม้ ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างจำเลยทั้งสองให้ทำการขนส่งสินค้าไม้ซุงจากประเทศมาเลเซียมาประเทศไทย แต่จำเลยทั้งสองใช้เรือที่ไม่อยู่ในสภาพที่เหมาะสมมาทำการบรรทุกสินค้า ทำให้เรือจมระหว่างทางสินค้าไม้ซุงที่บรรทุกมาสูญหายหมด ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 3,436,708.90 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์มิใช่ผู้รับช่วงสิทธิ ห้างหุ้นส่วนจำกัดศิริวัฒน์ค้าไม้ไม่ได้เสียหาย การบรรทุกของลงเรือเป็นเรื่องผู้ส่งของจัดการเอง จำเลยทั้งสองไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องด้วยเรือเดินทะเลอยู่ในสภาพเรียบร้อย เหตุที่เรืออับปางลงเพราะประสบกับภาวะอากาศแปรปรวนอย่างหนัก มีพายุ ทะเลมีคลื่นลมแรงมาก จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีเหตุผลให้เชื่อได้ตามพยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบว่าเรือสปันซึ่งบรรทุกไม้ซุงมีสภาพมั่นคงแข็งแรงเหมาะแก่การใช้ทางทะเล เรืออับปางลงเพราะทะเลมีคลื่นจัด ความเร็วลม20-30 น็อต ต่อชั่วโมง เรือรั่วเนื่องจากถูกของแข็งภายนอกเรือมาชนหรือกระแทกเรือ และในสภาพที่มรสุมคลื่นลมจัดเช่นนั้นแม้กัปตันเรือจะได้ใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างดี ก็ย่อมไม่มีทางหลีกเลี่ยงมรสุมและการกระทบกระแทกจากของแข็งภายนอกเรือดังกล่าวได้ เหตุที่เรือรั่วจึงเป็นเหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8ที่ศาลชั้นต้นทั้งสองฟังว่า กรณีเป็นเหตุสุดวิสัยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย
โจทก์ฎีกาในประการสุดท้ายว่า จำเลยที่ 1 มิได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งว่า เหตุที่เรืออับปางเกิดจากเหตุสุดวิสัย ศาลล่างทั้งสองจะอาศัยเหตุดังกล่าวพิพากษายกฟ้องถึงจำเลยที่ 1 ด้วยย่อมเป็นการไม่ชอบ เพราะจำเลยทั้งสองไม่ใช่ลูกหนี้ร่วมและมีเพียงผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีเท่านั้น นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ กรณีจึงหาใช่แต่จำเลยทั้งสองมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดีเท่านั้นไม่ หากแต่มูลความแห่งคดีดังกล่าวเป็นการชำระหนี้ซึ่งแบ่งแยกจากกันมิได้เพราะโจทก์อาจบังคับเอากับจำเลยคนใดคนหนึ่งก็ได้โดยลำพัง การที่ศาลล่างทั้งสองฟังว่ากรณีเป็นเหตุสุดวิสัยแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 เสียด้วย จึงชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share