คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3251/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยแถลงในคดีอาญาที่โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาโกงเจ้าหนี้และเบิกความเท็จ และศาลจดไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาว่า โจทก์ยอมรับว่าจำเลยเป็นเจ้าหนี้ จ. จำนวน 100,000 บาท และโจทก์ยอมถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าวแลกกับการที่จำเลยงดเว้นใช้สิทธิอุทธรณ์ในคดีแพ่ง ที่โจทก์ฟ้องจำเลยกับพวกเรื่องเพิกถอนการฉ้อฉล จำเลยตกลงโดย ทนายโจทก์และจำเลยลงชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณา ถือว่าข้อตกลง ดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความและมีผลผูกพันกัน เมื่อโจทก์ ถอนฟ้องคดีอาญาแล้ว จำเลยกลับยื่นอุทธรณ์ในคดีแพ่งดังกล่าวจำเลย จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยยื่นอุทธรณ์คดีแพ่งฝ่าฝืนข้อตกลงตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ทำให้โจทก์ต้องเสียค่าใช้จ่ายและค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ค่าเสียหายดังกล่าวเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการที่จำเลยผิดสัญญา จำเลยต้องรับผิดค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวต่อโจทก์ส่วนค่าใช้จ่ายและค่าทนายความชั้นฎีกา แม้ขณะโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยจะยังไม่ได้ยื่นฎีกาในคดีแพ่งดังกล่าว แต่ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาปรากฏว่าจำเลยได้ยื่นฎีกาและโจทก์ได้แก้ฎีกาในคดีแพ่งดังกล่าวแล้ว ศาลฎีกาก็พิพากษาให้จำเลยรับผิดค่าใช้จ่ายของโจทก์ในชั้นฎีกาได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์จ่ายเงินจำนวนนี้เมื่อใด จึงให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยสำหรับค่าใช้จ่ายชั้นฎีกานับแต่วันอ่านคำพิพากษาฎีกาคดีนี้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยกับพวกเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1017/2527 ของศาลจังหวัดนครปฐม เรื่อง เพิกถอนการฉ้อฉล ศาลจังหวัดนครปฐมพิพากษาให้เพิกถอนการฉ้อฉลระหว่างจำเลยกับพวก กับได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยกับพวกเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่1656/2526 ของศาลจังหวัดชลบุรี ข้อหาโกงเจ้าหนี้และเบิกความเท็จต่อมาศาลจังหวัดชลบุรีได้ทำการไกล่เกลี่ย โจทก์จำเลยตกลงกันได้โดยโจทก์ยอมถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าวแลกกับการที่จำเลยงดเว้นการใช้สิทธิอุทธรณ์ในคดีแพ่งดังกล่าว หลังจากโจทก์ถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าวแล้ว จำเลยกลับยื่นอุทธรณ์ในคดีแพ่งดังกล่าว ทำให้โจทก์เสียหายต้องเสียค่าใช้จ่ายและค่าทนายความชั้นอุทธรณ์จำนวน 20,000 บาทและชั้นฎีกาจำนวน 20,000 บาท กับทำให้โจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้จำนวน367,000 บาท เพราะไม่สามารถนำที่ดินโฉนดเลขที่ 479 ออกขายเพื่อชำระหนี้ได้ และโจทก์ไม่สามารถนำเงินจำนวน 367,000 บาท ไปชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ได้ ทำให้โจทก์ต้องเสียดอกเบี้ยเดือนละ 5,810 บาทขอให้ศาลพิพากษาว่า จำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาในคดีแพ่งดังกล่าวให้จำเลยชำระเงิน 407,000 บาท กับค่าเสียหายเดือนละ 5,810 บาทนับตั้งแต่วันที่ 24 ธันวาคม 2528 เป็นต้นไป และชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 40,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ข้อตกลงตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลจังหวัดชลบุรีขัดต่อกฎหมายและความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน โจทก์ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใดค่าเสียหายตามฟ้องเป็นค่าเสียหายที่เกินความจริง เป็นค่าเสียหายในอนาคตที่ยังไม่เกิดขึ้น และเป็นค่าเสียหายที่ไกลกว่าเหตุขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ 40,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ คำขออื่นให้ยกเสีย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำนวน20,000 บาท ให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อตกลงตามรายงานกระบวนพิจารณามีใจความว่าโจทก์ยอมรับว่าจำเลยเป็นเจ้าหนี้นางเจษรา แซ่จู เป็นจำนวน 100,000บาท และโจทก์ยอมถอนฟ้องคดีนี้แลกกับการที่จำเลยงดเว้นการใช้สิทธิอุทธรณ์คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 503/2526 หมายเลขแดงที่ 1017/2527ของศาลจังหวัดนครปฐม ซึ่งทนายโจทก์และจำเลยได้ลงชื่อไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาดังกล่าวด้วย ดังนั้นข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะระงับข้อพิพาทที่มีอยู่แล้วให้เสร็จไปด้วยการต่างผ่อนผันให้แก่กันย่อมก่อให้เกิดความผูกพันใช้บังคับกันได้ หาได้ขัดต่อกฎหมายหรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือขัดต่อสิทธิในการยื่นอุทธรณ์ฎีกาในทางแพ่งของจำเลยไม่ เพราะเป็นความสมัครใจของจำเลยเองที่ยอมสละสิทธิอุทธรณ์ในคดีแพ่งดังกล่าว เมื่อโจทก์ได้ถอนฟ้องคดีอาญาดังกล่าวแล้ว จำเลยจึงต้องปฏิบัติตามข้อตกลงโดยไม่ใช่สิทธิอุทธรณ์คดีแพ่งดังกล่าว การที่จำเลยยื่นอุทธรณ์คดีแพ่งดังกล่าว จึงถือได้ว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
ปัญหาประการสุดท้ายตามข้อฎีกาของโจทก์จำเลยมีว่าค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใด ปัญหาข้อนี้ขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะค่าใช้จ่ายและค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาของโจทก์ ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้จ่ายเงินค่าใช้จ่ายและค่าทนายความชั้นอุทธรณ์จำนวน 20,000 บาท ให้แก่ทนายความไปจริง แล้ววินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ค่าเสียหายดังกล่าวเป็นจำนวนที่สมควรทั้งเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการที่จำเลยผิดสัญญา จำเลยจึงต้องรับผิดในค่าเสียหายจำนวนดังกล่าวต่อโจทก์ สำหรับค่าใช้จ่ายและค่าทนายความชั้นฎีกานั้น แม้ขณะโจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้จำเลยจะยังมิได้ยื่นฎีกาในคดีแพ่งดังกล่าว แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าต่อมาจำเลยได้ยื่นฎีกาในคดีแพ่งดังกล่าวและศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาแล้วตามสำเนาคำพิพากษาของศาลฎีกาที่แนบมาท้ายฎีกาของโจทก์ซึ่งเชื่อว่าโจทก์ได้ยื่นคำแก้ฎีกาแล้ว จึงฟังได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายส่วนนี้ด้วย ดังนั้นจำเลยจึงต้องรับผิดในค่าใช้จ่ายและค่าทนายความชั้นฎีกาจำนวนเงิน20,000 บาท ให้แก่โจทก์ด้วย แต่ที่โจทก์ขอให้จำเลยรับผิดดอกเบี้ยค่าเสียหายส่วนนี้นับแต่วันฟ้องนั้นเห็นว่า ความเสียหายส่วนนี้เกิดขึ้นภายหลังโจทก์ฟ้องคดี จึงให้จำเลยรับผิดดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องไม่ได้ เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เสียเงินค่าทนายความชั้นฎีกาเมื่อวันใด จึงสมควรกำหนดให้จำเลยรับผิดดอกเบี้ยในความเสียหายส่วนนี้ นับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้คู่ความฟัง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 40,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 20,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 20,000 บาท นับแต่วันอ่านคำพิพากษานี้ให้คู่ความฟังจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share