คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3251/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงการคลังเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย จำเลยให้การว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลหรือไม่ จำเลยไม่รับรอง ถือไม่ได้ว่าเป็นคำให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้ง จึงรับฟังได้ว่าโจทก์เป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นทบวงการเมือง อันเป็นนิติบุคคล ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
การที่จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ด้วยเช็ค เป็นการแปลงหนี้ใหม่หรือไม่มิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อมิได้ยกขึ้นว่ามาแล้วในศาลชั้นต้น จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225
จำเลยเพิ่งกล่าวอ้างในชั้นฎีกาว่า โจทก์กระทำการเป็นพ่อค้าขายทรัพย์สินให้จำเลยและฟ้องเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของ จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 165(1) โดยมิได้มีการยกขึ้นว่ากันมาในศาลล่างเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงการคลัง เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมีหน้าที่จัดเก็บภาษีตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร และเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ตกเป็นของแผ่นดินตามกฎหมายศุลกากร เจ้าพนักงานศุลกากรและเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตรวจค้นบ้านจำเลยพบเครื่องวิทยุรับส่ง กล้องถ่ายรูป กล้องถ่ายภาพยนตร์ อุปกรณ์ถ่ายภาพยนตร์และเครื่องบันทึกเสียง รวม 24 รายการ โดยจำเลยร่วมกันมีไว้ในครอบครองและรับไว้โดยรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ จำเลยได้ตกลงกับโจทก์ของดการฟ้องร้อง ยอมยกของกลางให้ตกเป็นของแผ่นดินและตกลงขอซื้อของกลางคืนในราคาที่โจทก์เห็นสมควร ในวันตกลงจำเลยได้รับของกลางคืนไป โดยได้วางเงินประกันราคาของกลาง 200,000 บาท ด้วยเช็คซึ่งจำเลยที่ 2 เป็นผู้สั่งจ่าย เมื่อโจทก์ประเมินราคาเสร็จแล้วจำเลยจะนำเงินมาชำระให้ภายใน 3 วัน นับแต่วันได้รับคำบอกกล่าว ต่อมาคณะกรรมการเปรียบเทียบประเมินราคาของกลางทั้งสิ้น 653,380 บาท ลด 30 เปอร์เซ็นต์ถือเอาเป็นราคาของกลางขายคืนเป็นเงิน 309,187.26 บาท และได้มีหนังสือบอกกล่าวแจ้งราคาให้จำเลยทราบและกำหนดเวลาให้จำเลยนำเงินมาชำระ จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ขอให้ลดราคาลงอีก โจทก์ได้แก้ไขประเมินราคาบางรายการลงเหลือ 275,945.46 บาท และแจ้งให้จำเลยนำเงินมาชำระหรือหากไม่ซื้อก็ให้นำของกลางมาคืน จำเลยไม่คัดค้าน แต่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไม่ชำระเงินหรือนำของกลางมาคืน ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันชำระเงิน 275,945.46 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ส่งมอบของกลางคืนแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์จะเป็นนิติบุคคลหรือไม่จำเลยไม่รับรองใบแต่งทนายความไม่ถูกต้อง โจทก์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินตามฟ้องจึงไม่มีอำนาจฟ้องสิ่งของตามฟ้องจำเลยมิได้นำเข้ามาในประเทศไทยโดยมิได้เสียภาษีอากร มิได้ครอบครองและรับไว้โดยรู้ว่า เป็นของที่นำเข้ามาโดยหลีกเลี่ยงอากร จำเลยซื้อจากบุคคลอื่นในประเทศไทยเป็นของเก่าใช้แล้ว จึงไม่ผิดกฎหมาย โจทก์ไม่มีสิทธิยึดจำเลยไม่เคยตกลงกับโจทก์ให้เปรียบเทียบงดฟ้องร้องและยอมยกของกลางให้เป็นของแผ่นดิน ไม่เคยตกลงซื้อของกลางคืน จำเลยที่ 2 ลงชื่อในเอกสารท้ายฟ้องเพราะถูกเจ้าหน้าที่ของโจทก์ข่มขู่หลอกลวงและสำคัญผิดว่าจำเลยที่ 1 นำของกลางมาจากต่างประเทศ หรือซื้อมาโดยหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร สัญญาดังกล่าวจึงไม่สมบูรณ์ จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือแจ้งราคาของกลางจากโจทก์ ราคาประเมินสูงเกินความจริงฟ้องโจทก์ขาดอายุความและเคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย โจทก์มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม จำเลยทั้งสองร่วมกันมีไว้ในครอบครองและรับไว้โดยรู้ว่าของที่ถูกยึดเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร จำเลยได้ยอมยกของกลางให้เป็นของแผ่นดินเพื่อระงับการฟ้องร้องและขอรับของกลางคืนไปก่อนระหว่างที่รอการประเมินราคา โจทก์ประเมินราคาแล้วแต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระจึงต้องรับผิด คำให้การของจำเลยไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2 เพราะไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งเหตุแห่งการปฏิเสธว่า จำเลยอ้างอายุความในเรื่องใดไม่เป็นประเด็นถือว่าจำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้เรื่องอายุความ พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้โจทก์ 275,945.46 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย หากไม่ชำระให้ส่งมอบของกลางคืน

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าโจทก์เป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงการคลัง เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย จำเลยให้การว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลหรือไม่ จำเลยไม่รับรอง ถือไม่ได้ว่าเป็นคำให้การปฏิเสธโดยชัดแจ้ง จึงรับฟังได้ตามฟ้องว่าโจทก์เป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงการคลังซึ่งเป็นทบวงการเมืองอันเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยได้

ที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้วินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ว่า จำเลยชำระหนี้ด้วยเช็คถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ เพราะเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น เห็นว่าการที่จำเลยชำระหนี้ด้วยเช็คจะเป็นการแปลงหนี้ใหม่หรือไม่ มิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อมิได้ว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ย่อมเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225

ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1) เพราะโจทก์กระทำการเป็นพ่อค้าขายทรัพย์สินให้จำเลยที่ 2 และฟ้องเรียกเอาค่าที่ได้ส่งมอบของ ไม่ใช่อายุความ 10 ปี ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยนั้น เห็นว่า มิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแต่ศาลล่าง จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้

พิพากษายืน

Share