แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ชั้นสอบสวนผู้เสียหายให้การเพียงว่าจำหน้าคนร้ายได้เท่านั้นโดยไม่ได้ระบุว่าคนร้ายนั้นมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร เป็นการให้การลอย ๆ ชั้นพิจารณาผู้เสียหายเบิกความว่าจำคนร้ายไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะถูกดำเนินคดีฐานเบิกความเท็จ และผู้เสียหายให้การรับสารภาพ คดีถึงที่สุดไปแล้วก็ตาม ก็จะนำมายืนยันในคดีนี้ว่าคำเบิกความของผู้เสียหายเป็นการเบิกความเท็จด้วยไม่ได้เพราะขัดต่อข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดี เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดพอที่จะให้เชื่อได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายลำพังแต่คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยซึ่งจำเลยปฏิเสธในชั้นพิจารณา ยังไม่เพียงพอฟังลงโทษจำเลยได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80,83, 58 และบวกโทษที่รอไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 636/2530 ของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษในคดีนี้ จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83ให้จำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามมาตรา 78คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน บวกโทษจำคุก 6 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 636/2530 ของศาลชั้นต้นเข้าในคดีนี้เป็นจำคุก 7 ปี 2 เดือน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวซึ่งเป็นพยานปากสำคัญ ปรากฏว่าได้เบิกความสอดคล้องต้องกันยืนยันว่าจำหน้าตาของคนร้ายไม่ได้ โดยให้เหตุผลเป็นที่น่าเชื่อถือได้ เพราะขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืน และเมื่อตรวจดูภาพถ่ายหมาย ล.1 ซึ่งจำเลยนำสืบและอ้างส่งศาลโดยโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านว่าไม่ใช่ภาพถ่ายตรงที่เกิดเหตุ ทั้งได้เปรียบเทียบกับภาพถ่ายหมาย จ.11 ที่โจทก์อ้างส่งไว้ เห็นได้ว่า ตรงจุดที่ผู้เสียหายทั้งสองถูกยิงนั้น เป็นที่ที่อยู่ตรงปากตรอกไม่ปรากฏว่ามีเสาไฟฟ้าหรือหลอดไฟฟ้าติดอยู่เลย ส่วนภาพถ่ายอื่นแม้จะเห็นเสาไฟฟ้าอยู่ริมถนนทั้งสองข้างอยู่บ้างก็ยังอยู่ห่างจากตรงจุดที่เกิดเหตุ พอเป็นที่สังเกตได้ว่าถึงจะมีแสงไฟส่องไปยังจุดที่เกิดเหตุก็เป็นแค่เพียงแสงสลัว ๆ ซึ่งถ้าหากคนอยู่ห่างกันในระยะตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไปต้องไม่สามารถจำหน้าตากันได้ ยิ่งเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้ากันมาก่อนย่อมไม่อาจจำหน้าตาได้ คำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสองจึงสมกับเหตุผลนอกจากนี้ปรากฏจากการนำสืบและคำเบิกความของพยานโจทก์เองว่าก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายทั้งสองได้ดื่มสุราไปถึง 6-7 ขวด ตั้งแต่เวลาประมาณ 19 นาฬิกา จนถึงเวลาเกิดเหตุห่างกันเพียง 5-6ชั่วโมง เชื่อได้ว่าผู้เสียหายทั้งสองต้องเมาสุราในขณะที่ถูกคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงจริง ยิ่งไปกว่านี้ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบมาฟังได้ชัดว่า พวกทหารพรานที่ไปเต้นรำและมีเรื่องวิวาทกับกลุ่มวัยรุ่นนั้นหาใช่ผู้เสียหายทั้งสองไม่ และผู้เสียหายทั้งสองก็ไม่ทราบว่ากลุ่มวัยรุ่นนั้นเป็นผู้ใด มีรูปพรรณสัณฐานอย่างไร จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นพวกวัยรุ่นที่มีเรื่องวิวาทกับทหารพรานพวกผู้เสียหายทั้งสองมาก่อน ฉะนั้นเหตุที่ผู้เสียหายทั้งสองอ้างว่าจำหน้าคนร้ายไม่ได้จึงสมกับข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดี คำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสองรับฟังได้แม้โจทก์จะนำสืบว่า ชั้นสอบสวนผู้เสียหายทั้งสองให้การว่าจำหน้าคนร้ายได้ และได้บันทึกไว้ตามคำให้การเอกสารหมาย จ.1และ จ.4 ก็ตาม ศาลฎีกาได้ตรวจดูข้อความรายละเอียดในคำให้การของผู้เสียหายทั้งสองแล้ว เพียงแต่มีข้อความว่าผู้เสียหายทั้งสองเคยให้การว่าจำหน้าคนร้ายได้เท่านั้น โดยไม่ได้ระบุข้อสำคัญไว้ว่าคนร้ายนั้นมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร จึงเห็นได้ว่าเป็นการให้การลอย ๆ เป็นพิรุธไม่น่าเชื่อว่าจะจำหน้าตาของคนร้ายได้จริงส่วนที่โจทก์นำสืบว่า เมื่อจับจำเลยมาได้ก็นำมาให้ผู้เสียหายทั้งสองชี้ตัวก็ชี้ได้ถูกต้องและถ่ายภาพกับทำบันทึกไว้ตามภาพถ่ายและเอกสารหมาย จ.2 จ.3 กับ จ.5 นั้น ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นผู้บอกให้ชี้ตัวจำเลย ทั้งปรากฏว่าการชี้ตัวของผู้เสียหายทั้งสองได้ทำขึ้นคนละวันกัน ภาพถ่ายและบันทึกการชี้ตัวไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟังได้ แม้โจทก์ฎีกาว่าหลังจากผู้เสียหายทั้งสองเบิกความต่อศาลแล้วได้จัดการดำเนินคดีแก่ผู้เสียหายที่ 1 ฐานเบิกความเท็จ ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับสารภาพคดีดังกล่าวถึงที่สุดไปแล้วก็ตาม จะนำมายืนยันในคดีนี้ว่าคำเบิกความของผู้เสียหายทั้งสองเป็นการเบิกความเท็จด้วยไม่ได้เพราะขัดต่อข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดี นอกจากนี้ปรากฏว่าการที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยมาดำเนินคดีนี้ก็เป็นแค่เพียงการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจเท่านั้น ส่วนการสืบสวนมีหลักฐานอย่างไร โจทก์หาได้นำมาสืบให้ศาลเห็นไม่ โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดพอที่จะให้เชื่อได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ ทั้งผู้เสียหายทั้งสองก็ยืนยันว่าจำหน้าคนร้ายไม่ได้ ลำพังแต่คำรับสารภาพชั้นสอบสวนของจำเลยซึ่งจำเลยปฏิเสธในชั้นพิจารณา ยังไม่เพียงพอฟังลงโทษจำเลยได้ พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่พอที่จะรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายทั้งสองจริงตามฟ้อง ไม่ต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานของจำเลยอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว”
พิพากษายืน