แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 1 เป็นหนี้จำเลยที่ 1, 2 อยู่ ไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้กันไว้ซึ่งจำเลยที่ 1, 2 จะต้องเตือนให้โจทก์ที่ 1 ชำระก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 204 วรรคแรก จึงจะมีสิทธิฟ้องให้ชำระหนี้ได้ โจทก์ที่ 1 ไปทำงานที่อื่น จำเลยที่ 1, 2ไม่มีโอกาสเตือนให้ชำระหนี้ได้ เมื่อไปทวงหนี้จากโจทก์ที่ 2ซึ่งเป็นภริยาโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 ก็ไม่ยอมชำระ เมื่อมีหนังสือเตือนให้โจทก์ที่ 1 ชำระโดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนก็ไม่มีผู้ใดรับจำเลยที่ 2 ไปทวงหนี้จากโจทก์ที่ 2 อีก และบอกว่าหากไม่ชำระให้จะเอาประกาศปิดให้เสียชื่อเสียง โจทก์ที่ 2 กลัว จึงรับปากว่าจะชำระ แต่แล้วก็ไม่ชำระให้ จำเลยที่ 1, 2 จึงมอบให้จำเลยที่ 3ผู้เป็นทนายความทำประกาศบอกกล่าวให้โจทก์ที่ 1 ชำระหนี้แล้วให้จำเลยที่ 4 นำไปให้ตำรวจปิดในที่เปิดเผย 3 แห่งการที่จำเลยที่ 2 บอกโจทก์ที่ 2 ว่าหากไม่ชำระหนี้จะปิดประกาศทวงหนี้ก็ได้ การทำประกาศบอกกล่าวให้ชำระหนี้ไปปิดไว้ก็ดีเป็นการเตือนให้โจทก์ที่ 1 ชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 204 วรรคแรก ทั้งข้อความก็ตรงกับความจริงไม่มีข้อความอันเป็นการใส่ความ หรือดูหมิ่นโจทก์ที่ 1 แต่อย่างใด การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 84, 86, 309,326, 328, 337, 338, 392, 393 ดังที่โจทก์ฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ใช้ให้จำเลยที่ ๒ ไปทวงเงินจากโจทก์ที่ ๑แต่ไม่พบโจทก์ที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ได้ทวงจากโจทก์ที่ ๒ และข่มขู่โจทก์ที่ ๒ว่าถ้าไม่ชำระจะประจานโจทก์ที่ ๑ ให้ชื่อเสียงเสียหาย ได้เอาหนังสือทำนองเดียวกับประกาศท้ายฟ้องให้ดูและว่าจะปิดให้ประชาชนทราบโจทก์ที่ ๒ เกรงกลัว ต้องยอมรับจะชดใช้เงินให้ต่อมาจำเลยที่ ๑ และ ๓ได้ร่วมกันพิมพ์ประกาศเรื่องให้โจทก์ที่ ๑ ชำระหนี้ แล้วจำเลยที่ ๑, ๒, ๓ใช้ให้จำเลยที่ ๔ นำหนังสือของจำเลยที่ ๓ และประกาศไปให้ตำรวจปิดในที่เปิดเผย ๓ แห่ง เป็นการขู่เข็ญกรรโชกทรัพย์และรีดเอาทรัพย์จากโจทก์ทำให้โจทก์เสียเสรีภาพและเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ทำให้โจทก์ต้องยอมจะให้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินแก่จำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๐๙, ๓๒๖, ๓๒๘, ๓๓๗, ๓๓๘, ๓๙๒,๓๙๓, ๘๓, ๘๔, ๘๖
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าการกระทำของจำเลยทุกข้อหาไม่มีมูลความผิดทางอาญา พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า หนี้รายนี้เกิดจากการที่โจทก์ที่ ๑ ซื้อยาปราบศัตรูพืชและอุปกรณ์การทำไร่จากจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ แล้วส่งฝ้ายและพืชไร่ไปชำระหนี้ ซึ่งดำเนินการเช่นนี้กันมาเป็นเวลานานแล้ว แสดงว่าไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้กันไว้ ซึ่งจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ จะต้องเตือนให้โจทก์ที่ ๑ ชำระหนี้ก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๒๐๔ วรรคแรก จึงจะมีสิทธิฟ้องให้โจทก์ที่ ๑ ชำระหนี้รายนี้ได้ โจทก์ที่ ๑ ไปเสียจากที่อยู่เดิมโดยไปรับจ้างทำงานอยู่ที่โรงงานไพโรจน์สามัคคีที่อำเภอด่านขุนทด โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยคนใดทราบว่าโจทก์ที่ ๑ ไปทำงานอยู่ที่นั่น จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ไม่มีโอกาสเตือนให้โจทก์ที่ ๑ ชำระหนี้ได้ เมื่อไปทวงหนี้จากโจทก์ที่ ๒ โจทก์ที่ ๒ ก็ไม่ยอมชำระให้ และเมื่อมีหนังสือเตือนให้โจทก์ที่ ๑ ชำระหนี้โดยส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับและทางไปรษณีย์แจ้งให้โจทก์ที่ ๑ ไปรับหนังสือดังกล่าวแล้วก็ไม่มีผู้ใดไปรับ จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ ไม่อาจเตือนด้วยวาจาให้โจทก์ที่ ๑ชำระหนี้หรือส่งคำเตือนโดยวิธีธรรมดาได้ จึงจำเป็นต้องปิดประกาศเตือนให้โจทก์ที่ ๑ ชำระหนี้ เพราะไม่มีทางอื่นที่จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒ จะเตือนให้โจทก์ที่ ๑ ชำระหนี้ได้แล้ว การที่จำเลยที่ ๒ บอกโจทก์ที่ ๒ ว่าหากไม่ชำระหนี้จะปิดประกาศทวงหนี้จากโจทก์ที่ ๑ ก็ดี การที่จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๒มอบให้จำเลยที่ ๓ ผู้เป็นทนายความทำประกาศบอกกล่าวให้โจทก์ที่ ๑ชำระหนี้ตามภาพถ่ายท้ายฟ้อง แล้วให้จำเลยที่ ๔ นำไปให้จ่าสิบตำรวจสำเนียงปิดก็ดี เป็นการเตือนให้โจทก์ที่ ๑ ชำระหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๒๐๔ วรรคแรก ทั้งข้อความในประกาศดังกล่าวก็ตรงกับความเป็นจริงและไม่มีข้อความอันเป็นการใส่ความหรือดูหมิ่นโจทก์ที่ ๑ แต่อย่างใด การกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงไม่มีมูลความผิดทางอาญาดังโจทก์ฟ้องแต่อย่างใด
พิพากษายืน