คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา แล้วสืบพยานโจทก์และพิพากษาให้โจทก์ได้รับชำระหนี้เต็มตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วให้พิจารณาคดีใหม่เท่านั้น ดังนี้การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาก้าวล่วงไปถึงจำนวนหนี้แล้วพิพากษาให้จำเลยรับผิดน้อยลง โดยจำเลยมิได้อุทธรณ์ขึ้นมาจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้ค่าสินค้าที่ซื้อไปจากโจทก์จำนวน 168,061 บาท จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยชำระหนี้บางส่วนแล้ว คงค้างชำระเพียง 23,717 บาท ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยนำสืบก่อน ถึงวันนัดสืบพยานจำเลย จำเลยและทนายไม่มาศาล ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา และนัดสืบพยานโจทก์จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาตามคำสั่งเดิม และต่อมาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินจำนวน 95,717 บาทโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ตามฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองได้แยกอุทธรณ์มา 3 กรณีแต่พอสรุปใจความได้ว่า จำเลยคัดค้านว่าโจทก์ไม่ยอมส่งเอกสารเกี่ยวกับการซื้อขายให้จำเลยเพื่อจะได้ทราบความจริงว่ายอดหนี้ที่จำเลยค้างชำระมีจำนวนเท่าใด การที่ศาลสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณา โดยไม่มีการไต่สวนก่อนนั้นไม่ชอบทำให้จำเลยไม่มีโอกาสต่อสู้คดีทั้งที่จำเลยก็ได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นไว้ ขอให้ศาลมีคำสั่งยกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้นเสียโดยให้จำเลยได้พิจารณาคดีนี้ใหม่ จึงเห็นได้ว่า ฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองไม่ได้กล่าวไว้แจ้งชัดทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างอิงเพื่อคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่อย่างใดจุดประสงค์ของจำเลยก็เพื่อต้องการที่จะให้ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาก้าวล่วงไปถึงจำนวนหนี้ซึ่งข้อเท็จจริงฟังยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยจำเลยมิได้อุทธรณ์ขึ้นมา จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share