คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3246/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพร้อมทั้งพืชไร่บางส่วนในที่ดินจากจำเลยโดยโจทก์ได้วางเงินมัดจำซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาที่ซื้อขายกันให้จำเลยในวันทำสัญญา ส่วนเงินที่เหลือตกลงจะชำระในวันจดทะเบียนโอนที่ดิน ซึ่งตกลงกันว่าจะจดทะเบียนโอนกันภายในสามเดือนนับแต่วันทำสัญญา ก่อนครบกำหนดสามเดือน โจทก์ขอขยายกำหนดชำระเงินและจดทะเบียนโอนที่ดินออกไปอีกสามเดือน จำเลยยอมขยายให้เพียงหนึ่งเดือน ดังนี้มีผลเท่ากับคู่สัญญาได้ตกลงขยายกำหนดระยะเวลาชำระหนี้ออกไปอีกหนึ่งเดือนแล้ว แม้โจทก์จะไม่ชำระราคาที่ดินภายในกำหนดเดิม โจทก์ก็ไม่ผิดสัญญา
ในระหว่างที่ยังไม่ครบกำหนดหนึ่งเดือนตามที่คู่สัญญาได้ตกลงขยายออกไปนั้น โจทก์ได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยจัดการโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ภายในหนึ่งเดือน นับแต่วันได้รับหนังสือบอกกล่าว ถือได้ว่าโจทก์ได้กำหนดเวลาให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้แล้ว เมื่อจำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวภายหลังที่ครบกำหนดหนึ่งเดือนตามที่ได้ตกลงขยายระยะเวลาออกไปแล้ว มิได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา ทั้งมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าพร้อมจะโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์และขอให้โจทก์ชำระราคาที่ดินภายในกำหนดหนึ่งเดือนตามหนังสือบอกกล่าว ย่อมถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญาโดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าโจทก์มีเงินชำระค่าที่ดินที่ค้างอยู่แก่จำเลยหรือไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อที่ดินมี น.ส.๓ พร้อมทั้งพืชไร่จากจำเลยในราคา ๑๑๕,๖๗๕ บาท โจทก์ได้วางเงินมัดจำไว้ ๔๐,๐๐๐ บาท ตกลงจะไปจดทะเบียนโอนทางทะเบียนภายในสามเดือนนับแต่วันทำสัญญา ถ้าโจทก์ผิดสัญญาจำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำได้ หากจำเลยผิดสัญญาจำเลยจะต้องคืนเงินมัดจำให้โจทก์พร้อมทั้งใช้ค่าเสียหาย ๒๐,๐๐๐ บาท ให้โจทก์เมื่อครบกำหนดตามสัญญาแล้วจำเลยไม่จดทะเบียนโอนสิทธิทางทะเบียนให้โจทก์ จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองคืนเงินมัดจำและใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยได้ทำสัญญาจะขายที่ดินและพืชไร่ให้โจทก์ตามฟ้องจริง แต่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาโดยไม่ไปจดทะเบียนรับโอนที่ดินภายในกำหนด ทั้งนี้เพราะโจทก์ไม่มีเงินชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำเลยจึงมีสิทธิริบเงินมัดจำและไม่โอนที่ดินให้โจทก์ได้ และโจทก์ได้เก็บเอาพืชไร่ในที่ดินพิพาทไป จำเลยไม่สามารถปลูกพืชไร่ลงไปในที่ดินได้อีกทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องชำระค่าเสียหายตามฟ้องแย้ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยตามฟ้องแย้ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษากลับให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยให้จำเลยทั้งสองคืนเงินมัดจำ ๔๐,๐๐๐ บาท กับใช้เงินเบี้ยปรับแก่โจทก์ ๕,๐๐๐ บาท
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยนำสืบว่า ก่อนครบกำหนดเวลาปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญา คือก่อนครบกำหนดสามเดือนนับแต่วันทำสัญญาจะซื้อขาย โจทก์ขอเลื่อนเวลาปฏิบัติการชำระหนี้ไปอีกสามเดือนเนื่องจากไม่มีเงินชำระค่าที่ดินที่ค้าง แต่จำเลยยอมตกลงให้เลื่อนไปได้อีกเพียงหนึ่งเดือน เห็นว่าแม้จะฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยนำสืบ วันครบกำหนดสามเดือนตามสัญญาจะซื้อขายคือวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๒๒ จำเลยยอมให้เลื่อนเวลาไปอีกหนึ่งเดือนจะครบกำหนดในวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๒๒ การที่จำเลยยอมให้โจทก์เลื่อนเวลาปฏิบัติการชำระหนี้ไปอีกหนึ่งเดือนเช่นนี้มีผลเท่ากับว่าคู่สัญญาได้ตกลงขยายเวลาที่กำหนดไว้ให้ชำระหนี้ตามสัญญาไปอีกหนึ่งเดือน ถึงแม้โจทก์จะไม่ชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างอยู่ให้แก่จำเลยในวันครบกำหนดเวลาตามสัญญาเดิม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์ผิดสัญญา เพราะได้มีการตกลงขยายเวลาตามสัญญาไปอีกหนึ่งเดือนแล้ว ข้อเท็จจริงปรากฏว่าก่อนครบกำหนดเวลาหนึ่งเดือนตามที่คู่สัญญาได้ตกลงขยายเวลาออกไปโจทก์ได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๒๒ บอกกล่าวให้จำเลยจัดการโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันได้รับหนังสือ จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๒ อันเป็นเวลาภายหลังที่ครบกำหนดหนึ่งเดือนตามที่ได้ขยายระยะเวลาไว้และเมื่อครบกำหนดหนึ่งเดือนตามหนังสือบอกกล่าวคือวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๒๒ แล้ว จำเลยก็ไม่ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาแต่อย่างใดและก็มิได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าจะจัดการโอนที่ดินพิพาทให้โจทก์ตามที่โจทก์แจ้งหรือไม่ การที่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยจัดการโอนที่ดินพิพาทนั้น ถือได้ว่าโจทก์ได้กำหนดเวลาให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้แล้ว เมื่อจำเลยไม่แจ้งให้โจทก์ทราบว่าพร้อมจะโอนที่ดินให้โจทก์และขอให้โจทก์ชำระราคาที่ดินภายในกำหนด ๑ เดือน ตามหนังสือบอกกล่าวย่อมถือได้ว่าจำเลยผิดสัญญา กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์มีเงินชำระค่าที่ดินพิพาทที่ค้างอยู่ให้แก่จำเลยหรือไม่
พิพากษายืน

Share