แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีคำสั่งให้จำเลยออกจากราชการ ก็สืบเนื่องมาจากจำเลยแจ้งความประสงค์จะออกจากราชการไปเป็นพนักงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ดังนั้น จำเลยจะอ้างว่ามหาวิทยาลัยขอนแก่นออกคำสั่งให้จำเลยออกจากราชการ เพื่อให้จำเลยพ้นจากความรับผิดที่จำเลยมีต่อโจทก์ตามสัญญาการรับทุนหาได้ไม่
ตามสัญญาการรับทุน ก.พ. เพื่อไปศึกษาวิชาในต่างประเทศถ้าจำเลยรับราชการไม่ครบกำหนดเวลาตามที่ตกลงไว้ จำเลยจะต้องรับผิดใช้ทุน ก.พ. ที่โจทก์จ่ายไปแล้วรวมทั้งเบี้ยปรับ โดยลดลงตามส่วนจำนวนเวลาที่จำเลยรับราชการชดใช้ไปบ้างแล้ว เว้นแต่ในกรณีซึ่ง ก.พ. และกระทรวงการคลังจะใช้ดุลพินิจเห็นว่ามีเหตุผลอันสมควรให้จำเลยพ้นความรับผิดเมื่อจำเลยออกจากราชการก่อนครบกำหนดตามสัญญาแม้ว่ามหาวิทยาลัยขอนแก่นได้มีคำสั่งให้จำเลยออกจากราชการตามความในข้อ 10 และข้อ 24 แห่งกฎทบวง ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2519) ออกตามความในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย พ.ศ. 2507 ประกอบด้วยมาตรา 96(2) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 ซึ่งเป็นกรณีสั่งให้ออกจากราชการเมื่อข้าราชการผู้นั้นสมัครไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามความประสงค์ของทางราชการก็ตาม แต่จำเลยยังคงมีความผูกพันตามสัญญาการรับทุนดังกล่าว เมื่อ ก.พ.และกระทรวงการคลังยืนยันให้จำเลยรับผิดตามสัญญาอีกทั้งกรณีของจำเลยไม่ได้รับการยกเว้นตามมติคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 11 สิงหาคม 2523 จำเลยจึงต้องรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์ตามสัญญา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มีอำนาจหน้าที่ในการจัดสอบแข่งขันหรือคัดเลือกบุคคลเพื่อรับทุนของรัฐบาล (ทุน ก.พ.) ไปศึกษาอบรมหรือดูงานตามความต้องการของกระทรวง ทบวง กรม ฝ่ายพลเรือน จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ได้รับการคัดเลือกและอนุมัติจากโจทก์ให้เป็นนักเรียนทุน ก.พ. ตามความต้องการของมหาวิทยาลัยขอนแก่นให้ไปศึกษาวิชาวิศวกรรมโยธา ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากับโจทก์ว่า เมื่อสำเร็จการศึกษาและได้รับการบรรจุเข้ารับราชการในกระทรวง ทบวง กรม แล้ว จำเลยที่ ๑ จะรับราชการอยู่ต่อไปอีกเป็นเวลาไม่น้อยกว่าสองเท่าของระยะเวลาที่จำเลยที่ ๑ ได้ศึกษาวิชาในต่างประเทศ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ยอมเข้ารับราชการตามที่โจทก์กำหนด จำเลยที่ ๑ ยอมชดใช้ทุน ก.พ. ที่โจทก์ได้จ่ายไปทั้งสิ้นกับใช้เงินอีกจำนวนหนึ่งเท่ากับทุน ก.พ. ดังกล่าวเป็นเบี้ยปรับให้แก่โจทก์ทันที และหากจำเลยที่ ๑ รับราชการไม่ครบตามกำหนดเวลาดังกล่าว จำเลยที่ ๑ ยอมรับผิดชดใช้ทุน ก.พ. ที่โจทก์จ่ายไปแล้ว รวมทั้งเบี้ยปรับอีกจำนวนหนึ่งดังกล่าวโดยลดลงตามส่วนจำนวนเวลาที่จำเลยที่ ๑ รับราชการชดใช้ไปบ้างแล้ว ทั้งนี้โดยมีนางยื้อ แซ่อึ๊ง ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้กับโจทก์ จำเลยที่ ๑ ได้ไปศึกษาอยู่เป็นเวลา ๒,๒๐๐ วัน และใช้ทุน ก.พ. ไปทั้งสิ้นเป็นเงินไทย ๒,๐๕๗ บาท และเป็นเงินสหรัฐอเมริกา ๒๔,๑๘๑.๑๗ ดอลลาร์ ซึ่งจำเลยที่ ๑ จะต้องรับราชการชดใช้ทุน ก.พ. มีกำหนด ๔,๔๐๐ วัน เมื่อจำเลยที่ ๑ สำเร็จการศึกษาและเดินทางกลับประเทศไทยแล้ว จำเลยที่ ๑ ได้เข้ารับราชการที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ออกจากราชการไปปฏิบัติงานที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ยังเหลือเวลาที่ต้องรับราชการชดใช้ทุนตามสัญญาอีก ๙๕๐ วัน เป็นการผิดสัญญา จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดชดใช้ทุน ก.พ. ที่โจทก์จ่ายไปและใช้เบี้ยปรับเท่ากับจำนวนทุน ก.พ. โดยลดลงตามส่วนที่รับราชการชดใช้ไปบ้างแล้ว เป็นเงินไทย ๙๒๕.๖๕ บาท และเป็นเงินสหรัฐอเมริกา ๑๐,๘๘๑.๕๓ ดอลลาร์ นางยื้อผู้ค้ำประกันได้ถึงแก่กรรม จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทผู้รับมรดกของนางยื้อ กองมรดก และจำเลยที่ ๒ ในฐานะทายาทจึงต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันด้วย โจทก์ทวงถามแล้วแต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน ๒๕๑,๗๔๔.๙๑ บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้สอบชิงทุนได้และได้ทำสัญญาการรับทุนกับโจทก์จริง เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วได้เข้ารับราชการที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ระหว่างรับราชการอยู่ การทางพิเศษแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจได้ขอตัวจำเลยที่ ๑ ไปรับการบรรจะทำงานเกี่ยวกับการออกแบบสะพาน มหาวิทยาลัยขอนแก่นเห็นว่าจำเลยที่ ๑ จะไปทำงานให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติได้มากกว่า จึงมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ออกจากราชการเพื่อไปบรรจุเข้าทำงานที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย เมื่อจำเลยออกจากการเป็นข้าราชการแล้ว จำเลยก็เข้าทำงานที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทยตลอดมา คำสั่งมหาวิทยาลัยขอนแก่นดังกล่าวได้สั่งโดยอาศัยอำนาจของโจทก์ซึ่งระบุไว้ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๐๗ และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๑๘ เป็นการปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ การที่จำเลยที่ ๑ ต้องออกจากราชการเพราะคำสั่งของมหาวิทยาลัยขอนแก่นซึ่งอาศัยอำนาของโจทก์ ถือว่าโจทก์เป็นผู้สั่งให้จำเลยออกจากราชการและโจทก์เป็นผู้ทำให้เกิดการผิดสัญญาขึ้นเอง สัญญาการรับทุนระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ข้อ ๖ และข้อ ๗ มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นการพ้นวิสัย และขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เป็นโมฆะ จำเลยที่ ๑ ไม่มีเจตนาที่จะออกจากการรับราชการ และไม่เคยมีเจตนาทำการอันใดเป็นการผิดสัญญา แต่จำเลยที่ ๑ จำต้องออกจากราชการเพราะมีคำสั่งให้ออกจึงเป็นการพ้นวิสัยและเป็นเหตุสุดวิสัยที่จำเลยที่ ๑ จะปฏิบัติตามสัญญาใด ในกรณีที่ผู้ได้รับทุนจากโจทก์ไปศึกษาวิชาในต่างประเทศกลับมาแล้วขอลาออกจากราชการตามความต้องการของรัฐบาลนั้นมีมติคณะรัฐมนตรีวินิจฉัยไว้ว่าบุคคลดังกล่าวได้รับการผ่อนผันไม่ต้องชดใช้เงินตามสัญญา จำเลยที่ ๑ มิใช่ลาออกจากราชการ แต่เป็นเรื่องที่ทางราชการสั่งให้จำเลยออกจากราชการ จะถือว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ผิดสัญญาเป็นการไม่ชอบ จำเลยที่ ๑ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ชดใช้เงินทุนและเบี้ยปรับให้แก่โจทก์จำนวน ๒๕๑,๗๔๔.๙๑ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย หากจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ ๒ ชำระแทน
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ออกคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ออกจากราชการตามเอกสารหมาย จ.๘ แสดงว่ามหาวิทยาลัยขอนแก่นประสงค์จะให้จำเลยที่ ๑ ไปปฏิบัติงานเป็นพนักงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทย จำเลยที่ ๑ ควรได้รับการยกเว้นโดยไม่อาจถือว่าจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายผิดสัญญาตามเอกสารหมาย จ.๑ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์นั้น พิเคราะห์แล้ว ตามเอกสารหมาย จ.๒๖ จำเลยที่ ๑ ได้ทำบันทึกถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยขอนแก่นว่า จำเลยที่ ๑ มีความประสงค์จะขอไปปฏิบัติงานที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ เป็นต้นไป ขอให้อธิการบดีพิจารณาอนุมัติและสั่งให้จำเลยที่ ๑ ออกจากราชการเพื่อไปบรรจุเป็นพนักงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทยต่อไป ต่อมาวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๒๖ มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ออกคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ออกจากราชการตามเอกสารหมาย จ.๘ เห็นได้ว่าการที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นมีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ออกจากราชการ ก็สืบเนื่องมาจากจำเลยที่ ๑ ทำบันทึกแจ้งความประสงค์จะออกจากราชการไปเป็นพนักงานการทางพิเศษแห่งประเทศไทยตามเอกสารหมาย จ.๒๖ จำเลยที่ ๑ จะอ้างว่ามหาวิทยาลัยขอนแก่นออกคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ออกจากราชการ เพื่อให้จำเลยที่ ๑ พ้นจากความรับผิดที่จำเลยที่ ๑ มีต่อโจทก์ตามสัญญาการรับทุนเอกสารหมาย จ.๑ หาได้ไม่ แม้ว่ามหาวิทยาลัยขอนแก่นได้มีคำสั่งให้จำเลยที่ ๑ ออกจากราชการตามความในข้อ ๑๐ และข้อ ๒๔ แห่งกฎหมาย ฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๑๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๐๗ ประกอบด้วยมาตรา ๙๖ (๒) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งเป็นกรณีสั่งให้ออกจากราชการเมื่อข้าราชการผู้นั้นสมัครไปปฏิบัติงานใด ๆ ตามความประสงค์ของทางราชการก็ตาม แต่จำเลยที่ ๑ ยังคงมีความผูกพันตามสัญญาการรับทุนเอกสารหมาย จ.๑ ข้อ ๖ และข้อ ๗ กล่าวคือ ถ้าจำเลยที่ ๑ รับราชการไม่ครบกำหนดเวลาตามที่ตกลงไว้ จำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดใช้ทุน ก.พ. ที่โจทก์จ่ายไปแล้วรวมทั้งเบี้ยปรับโดยลดลงตามส่วนจำนวนเวลาที่จำเลยที่ ๑ รับราชการชดใช้ไปบ้างแล้ว เว้นแต่ในกรณีซึ่ง ก.พ. และกระทรวงการคลังจะใช้ดุลพินิจพิจารณาเห็นว่ามีเหตุผลอันสมควรให้จำเลยที่ ๑ พ้นความรับผิดแต่ปรากฎข้อเท็จจริงในคดีนี้ว่า ทั้ง ก.พ. และกระทรวงการคลังยืนยันให้จำเลยที่ ๑ รับผิดตามสัญญา อีกทั้งกรณีของจำเลยที่ ๑ ไม่ได้รับการยกเว้นตามมติคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๒๓ ตามเอกสารหมาย จ.๑๔ ที่จะไม่ต้องชดใช้เงินฐานผิดสัญญา เมื่อจำเลยที่ ๑ ออกจากราชการก่อนครบกำหนดตามสัญญา จำเลยที่ ๑ ก็ต้องรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์
พิพากษายืน