แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินของบุคคลอื่นล้อมอยู่ ทางออกสู่ทางสาธารณะอีก 3 ทาง มีลักษณะคดเคี้ยว ระยะทางไกลกว่าทางพิพาทต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่นหลายแปลง และต้องผ่านที่นามีน้ำเจิ่งเต็มทางพิพาทมีความเหมาะสมกว่า ทั้งยังความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ที่ดินที่ล้อมอยู่น้อยที่สุด โจทก์จึงมีสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะได้
ป.พ.พ. มาตรา 1349 มิได้บังคับว่าผู้ร้องขอใช้ทางจำเป็นต่อศาลจะต้องเสนอขอจ่ายค่าทดแทนความเสียหายให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่มาพร้อมกับคำขอด้วย เพียงแต่ระบุให้ผู้ร้องมีหน้าที่ต้องใช้ค่าทดแทนเท่านั้น แม้โจทก์จะไม่ได้ขอจ่ายค่าทดแทนมาในฟ้อง แต่โจทก์ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะจ่าย จำเลยยังคงมีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่าทดแทนดังกล่าวจากโจทก์ได้อยู่ จึงไม่เป็นเหตุที่จะบังคับตามคำขอของโจทก์ไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเปิดทางพิพาทเพื่อใช้เป็นทางจำเป็นโดยจำเลยเป็นฝ่ายเสียค่าใช้จ่ายและให้จำเลยไปจดทะเบียนทางจำเป็นกว้าง 1.30 เมตรยาวประมาณ 155 เมตรโดยให้ที่ดินโจทก์เป็นสามยทรัพย์หากจำเลยไม่ไปจดทะเบียนให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโจทก์สามารถออกสู่ทางสาธารณะโดยผ่านที่ดินของบุคคลอื่นได้โจทก์ฟ้องโดยไม่ได้เสนอชดใช้ค่าทดแทน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยเปิดทางจำเป็นในทางพิพาทกว้าง 0.80เมตรยาวประมาณ 155 เมตรและให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นโดยค่าใช้จ่ายของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินของโจทก์ทั้ง 2 แปลงถูกที่ดินของบุคคลอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะโดยมีที่ดินของจำเลยล้อมอยู่ทางด้านทิศใต้ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกว่าโจทก์มีสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะได้หรือไม่ที่จำเลยฎีกาว่านอกจากทางพิพาทแล้วโจทก์สามารถออกสู่ทางสาธารณะได้อีก 3 ทางจึงไม่มีสิทธิใช้ทางพิพาทนั้นเห็นว่าทางออกจากที่ดินโจทก์ทั้ง3 ทางตามฎีกาจำเลยคือทางด้านทิศเหนือตามแนวเส้นสีน้ำเงินทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือและด้านทิศตะวันตกตามแนวเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปเอกสารหมาย ล.1 สภาพของทางตามแผนที่ดังกล่าวมีลักษณะคดเคี้ยวมีระยะทางไกลกว่าทางพิพาททั้งต้องผ่านที่ดินของบุคคลอื่นหลายแปลงนอกจากนี้ยังปรากฏจากที่ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบที่พิพาทตามรายงานกระบวนพิจารณาวันที่ 7 ธันวาคม 2526 ว่าทางที่จำเลยอ้างทั้ง 3 ทางต้องผ่านที่นามีน้ำเจิ่งเต็มไปหมดเมื่อเทียบกับทางพิพาทซึ่งเป็นเส้นทางที่โจทก์เคยใช้เดินมาก่อนและมีระยะทางสั้นที่สุดแล้วจะเห็นได้ว่าทางพิพาทมีความเหมาะสมกว่าทั้งยังความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ที่ดินที่ล้อมอยู่น้อยที่สุดด้วย โจทก์จึงมีสิทธิใช้ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นเพื่อออกไปสู่ทางสาธารณะได้ส่วนที่จำเลยอ้างว่าทางพิพาทมีต้นไม้ยืนต้นปลูกอยู่หากใช้เป็นทางจำเป็นแล้วจำเลยจะต้องเสียหายมากนั้นเห็นว่าทางพิพาทนี้โจทก์เคยใช้เดินมาก่อนศาลล่างทั้งสองกำหนดให้มีความกว้างเพียง 80 เซนติเมตรจำเลยจึงคงเสียหายไม่มากนักและหากจำเลยต้องเสียหายไปเท่าใดก็มีสิทธิเรียกร้องค่าทดแทนในส่วนนี้จากโจทก์ได้อยู่แล้วฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต่อไปมีว่าฟ้องโจทก์จะต้องเสนอขอชดใช้ค่าทดแทนมาด้วยหรือไม่ที่จำเลยฎีกาว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1349 วรรคท้ายบัญญัติว่าผู้มีสิทธิที่จะผ่านต้องใช้ค่าทดแทนให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่เพื่อความเสียหายอันเกิดแต่เหตุที่มีทางผ่าน โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องเสนอชดใช้ค่าทดแทนเพื่อความเสียหายเมื่อฟ้องโจทก์ไม่ได้ว่าไว้ จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเห็นว่าตามบทกฎหมายดังกล่าวมิได้บังคับว่าผู้ร้องขอใช้ทางจำเป็นต่อศาลจะต้องเสนอขอจ่ายค่าทดแทนความเสียหายให้แก่เจ้าของที่ดินที่ล้อมอยู่มาพร้อมกับคำขอด้วย เพียงแต่ระบุให้ผู้ร้องมีหน้าที่ต้องใช้ค่าทดแทนเท่านั้นคดีนี้แม้โจทก์จะไม่ได้ขอจ่ายค่าทดแทนมาในฟ้องแต่โจทก์ก็ไม่ได้ปฏิเสธที่จะจ่ายจำเลยยังคงมีสิทธิที่จะเรียกร้องเอาค่าทดแทนดังกล่าวจากโจทก์ได้อยู่ จึงไม่เป็นเหตุที่จะบังคับตามคำขอของโจทก์ไม่ได้ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสองฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน’
พิพากษายืน.