คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1731/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้การขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254(2) บัญญัติให้ทำเป็นคำขอฝ่ายเดียว แต่ศาลก็มีอำนาจที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ ก่อนออกคำสั่งได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 21(3) เรื่องเขตอำนาจศาลไม่ใช่ประเด็นที่ศาลจะต้องชี้ขาดในชั้นขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ตราบใดที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้พิพากษาหรือจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ คู่ความย่อมมีสิทธิขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันเปิดดำเนินกิจการโรงแรมบังกะโลเกาะไหวิลเลจ ซึ่งเป็นกิจการของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายจำนวน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันทำละเมิดเป็นต้นไป กับค่าเสียหายอีกเดือนละ 150,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจำเลยทั้งสองจะหยุดกระทำละเมิด ระหว่างการพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งห้ามจำเลยทั้งสองดำเนินกิจการโรงแรมบังกะโลเกาะไหวิลเลจชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา
จำเลยทั้งสองยื่นคำคัดค้านว่า ที่ดินอันเป็นที่ตั้งของโรงแรมบังกะโลเกาะไหวิลเลจ เป็นของจำเลยทั้งสองกับพวก จำเลยทั้งสองจำเป็นต้องเข้าไปดำเนินกิจการโรงแรมดังกล่าวเพื่อรักษาราคาที่ดินโจทก์ไม่ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกคำร้องของโจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้จำเลยทั้งสองหยุดดำเนินกิจการโรงแรมบังกะโลเกาะไหวิลเลจ อันเป็นทรัพย์พิพาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 254
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์คำสั่งให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยฟังข้อเท็จจริงว่า กิจการบังกะโลเกาะไหวิลเลจ เป็นกิจการของโจทก์ ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบในชั้นนี้นั้น เห็นว่า แม้การขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 254(2) บัญญัติให้ทำเป็นคำขอฝ่ายเดียว แต่ศาลก็มีอำนาจที่จะฟังคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งหรือคู่ความอื่น ๆ ก่อนออกคำสั่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(3) และปรากฏจากรายงานกระบวนพิจารณาว่าจำเลยทั้งสองแถลงไม่ติดใจสืบพยานชั้นไต่สวน แสดงว่าศาลให้โอกาสนำพยานเข้าสืบแล้ว แต่จำเลยทั้งสองไม่ประสงค์จะนำพยานเข้าสืบเองหาใช่จำเลยทั้งสองไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบดังจำเลยทั้งสองฎีกาไม่ ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ต้องฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดกระบี่ เพราะเป็นคดีเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์หรือประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องต่อศาลชั้นต้นนั้น เห็นว่า ชั้นนี้โจทก์และจำเลยทั้งสองพิพาทกันเกี่ยวกับการขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาศาลชั้นต้นจะมีอำนาจพิจารณาและพิพากษาคดีนี้หรือไม่ ย่อมไม่ใช่ประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดในชั้นนี้ เพราะตราบใดที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้พิพากษาหรือจำหน่ายคดีนี้ออกจากสารบบความคู่ความย่อมมีสิทธิขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาได้เสมอศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาข้อนี้
พิพากษายืน

Share