คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 993/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีร้องขัดทรัพย์ ปรากฏว่าทรัพย์พิพาทที่โจทก์นำยึดโดยอ้างว่าเป็นของจำเลยนั้นเป็นทรัพย์มรดกของผู้ตาย และผู้ร้องซึ่งเป็นภริยาของผู้ตายเป็นผู้ครอบครองมาฝ่ายเดียวนับแต่วันที่ผู้ตายได้ถึงแก่ความตายจนถึงวันที่โจทก์นำยึดเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี โดยจำเลยซึ่งเป็นบุตรของผู้ตายมิได้เป็นผู้ครอบครองภายในระยะเวลาดังกล่าว ดังนี้ จำเลยย่อมหมดสิทธิในทรัพย์พิพาทซึ่งเป็นมรดก โจทก์ไม่มีสิทธิยึดทรัพย์พิพาทนั้นได้

ย่อยาว

โจทก์ชนะคดีนำยึดเรือนทรงโบราณ 2 หลัง กับครัวไฟ 1 หลังอ้างว่าเป็นของจำเลย เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษา

ผู้ร้องยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าเรือนที่โจทก์นำยึดนอกจากครัวไฟเป็นของผู้ร้อง โดยได้รับยกให้จากนายบุตรสามีก่อนตาย ผู้ร้องครอบครองมาฝ่ายเดียว ขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด

โจทก์คัดค้านว่าทรัพย์ที่ยึดทั้งหมดเป็นของจำเลย จำเลยครอบครองมาฝ่ายเดียว ขอให้ยกคำร้อง และแถลงว่า การให้เรือนซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ

ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่านายบุตรได้ยกทรัพย์พิพาทให้ผู้ร้อง ๆ เป็นผู้ครอบครองทรัพย์พิพาท จำเลยมิได้ครอบครอง และนายบุตรตายมาก่อนทรัพย์พิพาทถูกยึดเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปีทรัพย์พิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง แม้การยกให้จะไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมตกเป็นโมฆะก็เป็นเรื่องระหว่างผู้ร้องและผู้ให้ไม่เกี่ยวกับโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก จึงมีคำสั่งให้ถอนการยึดเรือนพิพาท 2 หลัง เว้นแต่ครัวไฟ

โจทก์อุทธรณ์ว่าการให้เป็นโมฆะ

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์อุทธรณ์แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายข้อเท็จจริงจึงยุติตามที่ศาลชั้นต้นฟังมา พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาว่า แท้จริงโจทก์อุทธรณ์ทั้งปัญหาข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง และฎีกาว่าทรัพย์พิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์ เป็นของนายบุตรบิดาจำเลยและสามีผู้ร้อง ก่อนตายนายบุตรยกให้แก่ผู้ร้องโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน การให้ไม่สมบูรณ์และเป็นโมฆะ ต้องฟังว่าทรัพย์รายนี้ยังคงเป็นมรดกนายบุตร ตกได้แก่จำเลยและผู้ร้อง โจทก์มีสิทธิยึดได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย หาได้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ และวินิจฉัยว่าโจทก์และผู้ร้องมิได้อุทธรณ์โต้แย้งข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นฟังมา ข้อเท็จจริงจึงเป็นอันยุติตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยมาเมื่อฟังว่าทรัพย์บางส่วนที่โจทก์ว่าเป็นของจำเลยนั้น ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าเป็นของจำเลย แต่ศาลฟังว่าเป็นของนายบุตรบิดาจำเลยซึ่งตายไปก่อนทรัพย์ถูกยึดกว่าปีแล้ว ทรัพย์พิพาทจึงเป็นมรดกจำเลยจะมีสิทธิในทรัพย์พิพาทในฐานะผู้รับมรดกก็ต่อเมื่อได้ครอบครองมาภายในเวลา 1 ปีนับแต่นายบุตรตาย แต่ปรากฏว่าจำเลยมิได้เป็นผู้ครอบครอง และผู้ร้องซึ่งเป็นภรรยานายบุตรเป็นทายาทเช่นเดียวกับจำเลยเป็นผู้ครอบครอง ได้ครอบครองมานับแต่นายบุตรตาย ถึงเวลาที่โจทก์ยึดทรัพย์เป็นเวลาปีกว่า จำเลยหมดสิทธิในทรัพย์พิพาทซึ่งเป็นมรดก โจทก์จึงไม่มีสิทธิยึดทรัพย์พิพาทไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยในประเด็นที่โจทก์ฎีกาขึ้นมา ฯลฯ

พิพากษายืน

Share