แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมที่ดินโจทก์และจำเลยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน เมื่อมีการแบ่งแยกทำให้ที่ดินโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ แม้ปรากฏว่าที่ดินโจทก์ด้านทิศตะวันออกจะติดกับบริเวณที่ดินซึ่งเจ้าของที่ดินข้างเคียงได้แบ่งแยกไว้เป็นทางสาธารณะ แต่บริเวณดังกล่าวโจทก์และบุคคลทั่วไปไม่สามารถเดินได้เพราะมีตึกแถวและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นปิดกั้นอยู่ก่อนแล้ว ที่ดินโจทก์จึงมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะตามสภาพที่เป็นจริง โจทก์มีอำนาจฟ้องเรียกร้องเอาทางเดินผ่านที่ดินของจำเลยไปสู่ทางสาธารณะได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 13703ตำบลคลัง อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 13702 ท้องที่เดียวกันอยู่ติดกับที่ดินโจทก์ทางทิศตะวันตก เดิมที่ดินทั้งสองแปลงเป็นที่ดินแปลงเดียวกันเมื่อมีการแบ่งแยกกรรมสิทธิ์กันแล้วทำให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 13703 ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ เมื่อที่ดินดังกล่าวตกมาเป็นของโจทก์ โจทก์ได้เดินผ่านที่ดินของจำเลยตลอดมา ต่อมาเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2530 จำเลยได้ปักเสาซีเมนต์และขึงลวดหนามปิดกั้นทางเดิน ขอให้บังคับจำเลยเปิดทางพิพาทให้โจทก์และบริวารมีสิทธิใช้ทางดังกล่าวได้ตลอดไป และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นให้ทางพิพาทกลับคืนสู่สภาพเดิมทั้งห้ามจำเลยและบริวารทำให้ประโยชน์แห่งทางต้องลดหรือเสื่อมความสะดวก
จำเลยให้การว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 13703 ไม่ได้ถูกที่ดินแปลงอื่นล้อมจนไม่มีทางออกสู่ถนนสาธารณะ ยังมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ จึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เปิดทางจำเป็น ทางจำเป็นที่โจทก์ขอให้เปิดเป็นการขอเกินพอแก่ความจำเป็นทำให้จำเลยเสียหายและหากจะเปิดก็ควรกว้างไม่เกิน 90 เซนติเมตร และโจทก์ต้องใช้ค่าทดแทน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยเปิดทางกว้าง 90เซนติเมตรในที่ดินโฉนดเลขที่ 13702 ตำบลคลังอำเภอเมืองนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช ยาวตลอดแนวที่ดินของจำเลยด้านทิศตะวันออกและทิศเหนือโดยเริ่มจากแนวประตูบ้านเลขที่ 834 ในขณะนี้ไปจนถึงหลักเขตที่ ฆ.2283 ไปถึง หลักเขตที่ ฆ.2288 และจากหลักเขตที่ ฆ.2288 เลียบไปตามแนวที่ดินของจำเลยด้านทิศเหนือจนถึงถนนหลังพลับพลาให้โจทก์และบริวารมีสิทธิใช้ทางดังกล่าวได้ตลอดไปโดยไม่ต้องใช้ค่าทดแทน ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปิดกั้นกีดขวางทางดังกล่าวออกไป ห้ามจำเลยและบริวารกระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุให้ทางดังกล่าวลดหรือเสื่อมความสะดวก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันได้ความว่า เดิมที่ดินของโจทก์จำเลยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ภายหลังมีการแบ่งแยกที่ดินออกเป็นหลายแปลง ทำให้ที่ดินโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ หลังจากมีการตรวจสอบหลักฐานทางสำนักงานที่ดินจังหวัดนครศรีธรรมราชแล้ว โจทก์ทราบว่ามีทางสาธารณะอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกจริง โดยเจ้าของที่ดินที่ติดกับที่ดินโจทก์ด้านดังกล่าวได้แบ่งเป็นทางสาธารณะเมื่อปี 2521 ทางสาธารณะดังกล่าวมีห้องแถว 9 ห้องและสิ่งปลูกสร้างอื่นปลูกสร้างอยู่ก่อนแล้ว โดยปลูกสร้างเมื่อปี2514 บุคคลทั่วไปไม่สามารถเดินในทางสาธารณะดังกล่าวได้โจทก์เพิ่งทราบว่ามีทางสาธารณะเมื่อฟ้องคดีแล้ว ดังนั้น ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติได้ว่า ที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกอยู่ติดกับที่ดินที่เจ้าของที่ดินข้างเคียงได้แบ่งแยกเป็นทางสาธารณะแต่บุคคลทั่วไปไม่สามารถเดินในที่ดินบริเวณนี้ได้ เพราะมีห้องแถวและสิ่งปลูกสร้างอื่นมาปิดกั้นไว้ตั้งแต่ปี 2514 ตลอดมา ตามแผนที่เอกสารหมาย ล.1 ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะตามสภาพที่เป็นจริง โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยเรียกร้องเอาทางเดินผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ต้องเสียค่าทดแทนการใช้ทางจำเป็นแก่จำเลยหรือไม่ โจทก์จำเลยรับข้อเท็จจริงกันว่า ภายหลังแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 537 ออกมาเป็นโฉนดแปลงย่อยเลขที่13703 ของโจทก์ และ 13702 ของจำเลยและแปลงอื่น ๆ ทำให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 13703 ของโจทก์ไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะได้เลยดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 13703ที่ถูกแบ่งแยกออกมามีสิทธิเรียกร้องเอาทางจำเป็นได้จากที่ดินที่ได้แบ่งแยกหรือแบ่งโอนกันมาไปสู่ทางสาธารณะได้โดยไม่ต้องเสียค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน