แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พยานโจทก์ไม่เคยรู้จักจำเลยที่2และที่4มาก่อนไม่มีเหตุที่จะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลยที่2และที่4อีกทั้งการที่จำเลยที่2เบิกความรับว่าเป็นชายที่อยู่ในภาพถ่ายซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจได้บันทึกภาพไว้ขณะดูเงินที่ใช้ซื้อเฮโรอีนกันและจำเลยที่4ก็เบิกความรับว่าถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับบริเวณที่เกิดเหตุเจือสมกับพยานโจทก์พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่าจำเลยที่2และที่4ได้ร่วมกับพวกมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีน
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ ลงโทษ จำเลย ตาม พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 33, 83 กับ สั่ง ริบ เฮโรอีน รถจักรยานยนต์ 1 คัน และ กระเป๋า ผ้า2 ใบ ของกลาง
จำเลย ที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วน จำเลย ที่ 2 ถึง ที่ 5 ให้การปฏิเสธ แต่ ภายหลัง สืบพยานโจทก์ เสร็จ แล้ว จำเลย ที่ 5 ขอ ถอน คำให้การเดิม และ ให้การ ใหม่ เป็น รับสารภาพ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย ทั้ง ห้า มี ความผิด ตาม พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15, 66 วรรคสอง , 102 ประมวล กฎหมายอาญา มาตรา 33, 83 ให้ ลงโทษ ประหารชีวิต จำเลย ที่ 1 และ ที่ 5ให้การรับสารภาพ เป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณา ส่วน จำเลย ที่ 2 ที่ 3และ ที่ 4 ให้การรับสารภาพ ใน ชั้น จับกุม เป็น ประโยชน์ แก่ การ พิจารณาอยู่ บ้าง มีเหตุ บรรเทา โทษ ลดโทษ ให้ จำเลย ที่ 1 และ ที่ 5 คน ละกึ่งหนึ่ง ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบ มาตรา 52(2)และ ลดโทษ ให้ จำเลย ที่ 2 ที่ 3 และ ที่ 4 คน ละ หนึ่ง ใน สาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบ มาตรา 52(1) คง จำคุก จำเลย ที่ 1และ ที่ 5 คน ละ 50 ปี สำหรับ จำเลย ที่ 2 ที่ 3 และ ที่ 4 คง ให้ จำคุกแต่ละ คน ไว้ ตลอด ชีวิต ริบของกลาง
จำเลย ที่ 2 ที่ 3 และ ที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ เป็น ว่า จำเลย ทั้ง ห้า มี ความผิด ฐานร่วมกัน มีไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย ซึ่ง ยาเสพติดให้โทษ ประเภท 1ตาม พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสองประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และ มี ความผิด ฐาน ร่วมกัน จำหน่ายยาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 ตาม พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 66 วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำ ของ จำเลยทั้ง ห้า เป็น กรรมเดียว เป็น ความผิด ต่อ กฎหมาย หลายบท ให้ ลงโทษ ฐานจำหน่าย ยาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 ตาม พระราชบัญญัติ ยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90นอกจาก ที่ แก้ คง ให้ เป็น ไป ตาม คำพิพากษา ศาลชั้นต้น
จำเลย ที่ 2 และ ที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “พิเคราะห์ แล้ว มี ปัญหา ที่ จะ ต้อง วินิจฉัยตาม ฎีกา ของ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 4 ว่า จำเลย ที่ 2 และ ที่ 4 มี ความผิดตาม ที่ ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย หรือไม่ ข้อ นี้ จ่าสิบตำรวจ มนต์ชัย เสียงลอย พยานโจทก์ เบิกความ ว่า เมื่อ วันที่ 25 มิถุนายน 2535เวลา 13.30 นาฬิกา มี ชาย 3 คน มา ที่ บริเวณ นัดหมาย สาย ลับ ได้แนะนำ ให้ รู้ จัก ว่า เป็น กลุ่ม จำเลย ที่ 1 ที่ จะขาย เฮโรอีน ให้ กลุ่มจำเลย ที่ 1 ได้ ขอ ดู ว่า มี เงิน ซื้อ หรือไม่ จึง เปิด ท้ายรถ ให้ จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 3 ดู เจ้าพนักงาน ตำรวจ ได้ บันทึก ภาพ ไว้ ตามภาพถ่าย หมาย จ. 1 จำเลย ที่ 1 ขอให้ จ่าสิบตำรวจ มนต์ชัย นำ เงิน ไป ที่ บริเวณ ลานจอดรถ ของ ศูนย์การค้า หลักสี่พลาซ่า แล้ว จ่าสิบตำรวจ มนต์ชัย และ จำเลย ที่ 1 ตกลง พา กัน ไป เอา เฮโรอีน โดย นั่ง รถ แท็กซี่ ไป ที่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จำเลย ที่ 1 มา กับ จำเลย ที่ 4และ ที่ 5 โดย จำเลย ที่ 4 และ ที่ 5 เดิน ออก มา พร้อม หิ้ว กระเป๋า มาคน ละ 1 ใบ มา มอบ ให้ โดย จำเลย ที่ 4 มอบ ต่อ ให้ จำเลย ที่ 5 และจำเลย ที่ 5 มอบ ต่อ ให้ พยาน เมื่อ ตรวจ ดู แล้ว ใน กระเป๋า เป็น เฮโรอีนจึง ให้ สัญญาณ ให้ พัน ตำรวจ ตรี พงศ์ฤทธิ์ กับพวก เข้า ทำการ จับกุม ร้อยตำรวจโท อดีศ เจริญสวัสดิ์ พยานโจทก์ อีก ปาก หนึ่ง เบิกความ ว่า พยาน กับพวก ได้ ไป ซุ่ม ดู เห็น จำเลย ที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 3 คุย กับจ่าสิบตำรวจ มนต์ชัย จ่าสิบตำรวจ มนต์ชัย ได้ เปิด กระโปรง ท้ายรถ ให้ จำเลย ที่ 2 กับพวก ดู ตาม ภาพถ่าย หมาย จ. 1 หลังจาก นั้น จำเลย ที่ 1และ ที่ 2 ได้ ขับ รถจักรยานยนต์ ยามาฮา สี ทอง ไป ที่ ลานจอดรถ ศูนย์การค้า หลักสี่พลาซ่า ต่อมา เวลา 15 นาฬิกา จ่าสิบตำรวจ มนต์ชัย ได้ ออกจาก ศูนย์การค้า หลักสี่พลาซ่า ไป พร้อม กับ จำเลย ที่ 1 พัน ตำรวจ ตรี พงศ์ฤทธิ์ ให้ พยาน เฝ้า ดู เงิน กับ จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ต่อมา เวลา 15.30 นาฬิกา ได้รับ แจ้ง จาก พัน ตำรวจ ตรี พงศ์ฤทธิ์ ให้ จับกุม จำเลย ที่ 2 และ ที่ 3 ร้อยตำรวจเอก ศุภมิตร สุขเจริญ พนักงานสอบสวน เบิกความ เป็น พยานโจทก์ ว่า ชั้นสอบสวน จำเลย ที่ 2ให้การรับสารภาพ ตาม เอกสาร หมาย ป.จ. 4 จำเลย ที่ 2 เบิกความเป็น พยาน ว่า วันเกิดเหตุ จะ ไป ซื้อ ของ ที่ ศูนย์การค้า หลักสี่พลาซ่า เมื่อ ลง จาก รถ แล้ว มอง ไป ที่ ลานจอดรถ เห็น กลุ่ม คน ประมาณ 7 ถึง 8 คนยืน มุง ล้อม กัน อยู่ จึง ได้ เดิน ไป ดู ที่ กลุ่ม คน ดังกล่าว ไม่เห็น มีสิ่ง ใด โดย ตอนแรก คิดว่า มี คน เป็น ลม อยู่ ภาพถ่าย หมาย จ. 1 ชาย ที่ใส่ เสื้อ สี น้ำตาล คือ จำเลย ที่ 2 ต่อมา จำเลย ที่ 2 ไป ที่ ศูนย์การค้า หลักสี่พลาซ่า จึง ถูก เจ้าพนักงาน ตำรวจ จับ จำเลย ที่ 2 ลงลายมือชื่อ ใน เอกสาร หมาย ป.จ. 4 โดย ไม่ได้ อ่าน ข้อความ และ จำเลย ที่ 2 เบิกความตอบ โจทก์ ถาม ค้าน ว่า ไม่เคย รู้ จัก ผู้ที่ จับกุม มา ก่อน จำเลย ที่ 4เบิกความ เป็น พยาน ว่า เป็น ภริยา จำเลย ที่ 1 วันเกิดเหตุ ไป เก็บ เงินจาก ลูกหนี้ ที่ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทราบ จาก นาย สมคิด ว่า จำเลย ที่ 1อยู่ ที่ ป้อม ยาม จึง ไป หา เห็น จำเลย ที่ 1 ถูกจับ แล้ว จำเลย ที่ 4ถูก เจ้าพนักงาน ตำรวจ จับ ต่อมา ถูก เจ้าพนักงาน ตำรวจ บังคับ ให้รับสารภาพ เห็นว่า จำเลย ที่ 2 เบิกความ รับ ว่า เป็น ชาย ที่อยู่ ในภาพถ่าย หมาย จ. 1 จริง จึง เจือสม กับ พยานโจทก์ ที่ จำเลย ที่ 2เบิกความ ว่า เห็น กลุ่ม คน ประมาณ 7 ถึง 8 คน ยืน ล้อม กัน อยู่ จึงเข้า ไป ดู ก็ ปรากฏว่า ขัดแย้ง กับ ภาพถ่าย หมาย จ. 1 และ ตาม ภาพถ่ายดังกล่าว มี เพียง จำเลย ที่ 2 จ่าสิบตำรวจ มนต์ชัย และ จำเลย ที่ 3เท่านั้น และ ตาม ภาพถ่าย จำเลย ที่ 2 ก้ม ลง ดู ร่วม กับ คนอื่น เจือสมกับ พยานโจทก์ จำเลย ที่ 2 เบิกความ รับ ด้วย ว่า ไม่เคย มี สาเหตุกับ เจ้าพนักงาน ตำรวจ พยานโจทก์ มา ก่อน พยานโจทก์ จึง มี น้ำหนัก น่าเชื่อข้อเท็จจริง ฟังได้ ตาม ที่ โจทก์ นำสืบ ว่า จำเลย ที่ 2 ร่วม กับพวก มีเฮโรอีน ของกลาง ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย และ จำหน่าย เฮโรอีนของกลาง ดังกล่าว จำเลย ที่ 2 จึง มี ความผิด ตาม ที่ ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัยฎีกา จำเลย ที่ 2 ฟังไม่ขึ้น ส่วน จำเลย ที่ 4 นั้น จ่าสิบตำรวจ มนต์ชัย และ พัน ตำรวจ ตรี พงศ์ฤทธิ์ พยานโจทก์ เบิกความ ยืนยัน ว่า จำเลย ที่ 4 ส่ง กระเป๋า มี หู หิ้ว ให้ จำเลย ที่ 5 และ จำเลย ที่ 5 ได้ ส่ง ต่อให้ จ่าสิบตำรวจ มนต์ชัย และ ใน กระเป๋า ดังกล่าว มี เฮโรอีน บรรจุ อยู่ เห็นว่า พยานโจทก์ ทั้ง สอง ปาก ไม่เคย รู้ จัก จำเลย ที่ 4 มา ก่อน ไม่มีเหตุ ที่ จะ แกล้ง เบิกความ ปรักปรำ จำเลย ที่ 4 อีก ทั้ง จำเลย ที่ 4เบิกความ รับ ว่า ถูก เจ้าพนักงาน ตำรวจ จับ บริเวณ ที่เกิดเหตุ จึงเจือสม กับ พยานโจทก์ พยานโจทก์ จึง มี น้ำหนัก น่าเชื่อ ข้อเท็จจริงฟังได้ ตาม ที่ โจทก์ นำสืบ ว่า จำเลย ที่ 4 ได้ ร่วม กับพวก นำ เฮโรอีนของกลาง มา มอบ ให้ จ่าสิบตำรวจ มนต์ชัย จำเลย ที่ 4 จึง มี ความผิด ฐาน มี เฮโรอีน ไว้ ใน ครอบครอง เพื่อ จำหน่าย และ จำหน่าย เฮโรอีน ของกลางดังกล่าว ตาม ที่ ศาลอุทธรณ์ วินิจฉัย ฎีกา จำเลย ที่ 4 ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน ”
พิพากษายืน