คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3237/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลย แม้ในคำบรรยายฟ้องกล่าวว่าโจทก์ขอค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากจำเลย แต่ในเอกสารท้ายฟ้องกับคำขอท้ายฟ้องก็ได้ขอให้จำเลยจ่ายเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูแก่โจทก์และบุตร ดังนี้ เป็นคำฟ้องที่พอเข้าใจได้ว่าขอให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรและตัวโจทก์เองด้วย แม้ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์กระทำแทนบุตรก็ไม่ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้ จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1565 ให้บิดาหรือมารดานำคดีที่เกี่ยวกับการร้องขอค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรขึ้นว่ากล่าวก็ได้ แสดงว่ากฎหมายให้อำนาจบิดามารดาเป็นพิเศษที่จะยกคดีขึ้นว่ากล่าวเอง โจทก์ไม่ต้องระบุในคำฟ้องว่าโจทก์ในฐานะมารดาผู้กระทำการแทนบุตร โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยสมรสกันเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๒๓ มีบุตร ๑ คนชื่อเด็กชายอัฎฐรดี พุฒซ้อน อายุ ๒ ปี ๖ เดือน โดยอยู่กินด้วยกันที่บ้านของโจทก์จำเลยทำงานธนาคารนครหลวงไทย จำกัด ได้รับเงินเดือนเดือนละ ๕,๐๐๐ บาท และมีรายได้พิเศษอื่น ๆ อีก เมื่อประมาณกลางปี พ.ศ. ๒๕๒๕ จำเลยออกจากบ้านและละทิ้งไม่ส่งเสียอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตร ทำให้โจทก์ซึ่งไม่มีรายได้ไม่สามารถช่วยตนเองและบุตรได้ต้องกู้ยืมเงินบุคคลอื่นมาใช้เลี้ยงดูบุตร โจทก์แจ้งให้จำเลยส่งเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท ทุกเดือนจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ จำเลยรับหนังสือแล้วเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท ตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๒๗ ทุกเดือนไปจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ
จำเลยให้การว่า จำเลยสมรสกับโจทก์และมีบุตรด้วยกัน ๑ คน จำเลยมีรายได้เพียงเดือนละ ๓,๐๐๐ บาท แต่มีหนี้สินจะต้องชำระเดือนละ ๑,๑๐๐ บาท และต้องส่งเงินอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาจำเลยอีก จึงไม่อยู่ในฐานะอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ได้ โจทก์ทำงานมีรายได้เดือนละ ๓,๐๐๐ บาท ไม่มีหนี้สิน จึงไม่อยู่ในฐานะที่จำเลยจะต้องเลี้ยงดูฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่ได้ฟ้องหย่า จำเลยจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรเดือนละ ๑,๐๐๐ บาท เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๕๒๗ เป็นต้นไปจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ไม่ได้บรรยายให้แจ้งชัดว่าโจทก์ฟ้องขอค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรหรือค่าอุปการะเลี้ยงดูตัวโจทก์เองหรือค่าอุปาการะเลี้ยงดูทั้งตัวโจทก์และบุตร จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า แม้ในคำบรรยายฟ้องกล่าวว่าโจทก์ขอค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรจากจำเลยเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท ทำให้เข้าใจว่าขอเฉพาะค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร แต่ในเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ ซึ่งเป็นหนังสือของทนายความโจทก์แจ้งให้จำเลยส่งเสียค่าอุปการะเลี้ยงดูมีข้อความในวรรคท้ายว่าขอให้ส่งเงินช่วยเหลือค่าอุปการะเลี้ยงดูภรรยาและบุตรเป็นเงินเดือน ๆ ละ ๒,๐๐๐ บาททุกเดือนไป ประกอบคำขอท้ายฟ้องที่ว่าขอให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตรชายเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท ทุกเดือนไป ดังนี้ พอเข้าใจว่า คำฟ้องโจทก์ขอให้จ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรและตัวโจทก์เองด้วย จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม และแม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์กระทำแทนบุตรก็ไม่ทำให้จำเลยหลงข้อต่อสู้
ในปัญหาต่อไปที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเพราะโจทก์ไม่ได้ระบุในคำฟ้องว่าโจทก์ในฐานะมารดาผู้กระทำการแทนเด็กชายอัฎฐรดี พุฒซ้อน นั้นเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖๕ บัญญัติว่าการร้องขอค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรหรือขอให้บุตรได้รับการอุปการะเลี้ยงดูโดยประการอื่นนอกจากอัยการจะยกคดีขึ้นว่ากล่าวตาม มาตรา ๑๕๖๒ แล้ว บิดาหรือมารดาจะนำคดีขึ้นว่ากล่าวก็ได้ โจทก์จึงชอบที่จะฟ้องคดีได้โดยไม่ต้องระบุในคำฟ้องว่าโจทก์ในฐานะมารดาผู้กระทำการแทนเด็กชายอัฎฐรวี พุฒซ้อน เพราะตามบทกฎหมายดังกล่าวได้ให้อำนาจบิดามารดาเป็นพิเศษที่จะยกคดีขึ้นว่ากล่าว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
พิพากษายืน

Share