แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ร่วมถามจำเลยที่ 1 ถึงเรื่องที่จำเลยที่ 1ด่าบิดาโจทก์ร่วม การที่จำเลยที่ 1 ตอบว่า “ให้กลับไปถามพ่อมึงดู” ถ้อยคำดังกล่าวหาได้มีความหมายเป็นการด่าไม่ จึงมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1สมัครใจเข้าวิวาทกับโจทก์ร่วม เมื่อจำเลยที่ 1ถูกโจทก์ร่วมเข้าทำร้ายก่อน จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตนเองได้ แต่โจทก์ร่วมเข้าทำร้ายจำเลยที่ 1โดยใช้มือกระชากผมและตบใบหน้าหลายครั้ง จากนั้นทั้งคู่เข้ากอดปล้ำกัน การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงทำร้ายโจทก์ร่วมซึ่งปราศจากอาวุธที่บริเวณเอวจึงเป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้เท่านั้นสำหรับบาดแผลที่โจทก์ร่วมได้รับนั้นแม้จะเป็นบริเวณเอวและช่องท้อง แต่จำเลยที่ 1 ไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงได้เนื่องจากกำลังกอดปล้ำกับโจทก์ร่วมอยู่ ทั้งจำเลยที่ 1หยุดทำร้ายโจทก์ร่วมทันทีเมื่อมีคนมาห้าม และส่งมีดให้ยึดไว้โดยดี แสดงให้เห็นว่าไม่ประสงค์ต่อชีวิตของโจทก์ร่วม การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดเพียงฐานทำร้ายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายโดยเกินกว่ากรณีจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 83, 288
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณานางศรีสุดา ม่วงแก้ว ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ร่วมฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง โจทก์ร่วมถูกจำเลยที่ 1ใช้มีดปลายแหลมแทงจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ปรากฏบาดแผลตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลหรือศพของแพทย์ เอกสารหมาย จ.6มีปัญหาวินิจฉัยตามที่โจทก์ร่วมฎีกาว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ในข้อนี้ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ร่วมว่า ในวันเกิดเหตุเมื่อโจทก์ร่วมพบจำเลยที่ 1ก็ได้สอบถามถึงเรื่องที่จำเลยที่ 1 ไปด่าบิดาของโจทก์ร่วมจำเลยที่ 1 ตอบว่า ให้กลับไปถามพ่อมึงดูแล้วเกิดโต้เถียงกันจากนั้นจำเลยที่ 1 ชักมีดจากกระเป๋าสะพายแล้วแทงถูกโจทก์ร่วมที่เอวและหน้าอก ในระหว่างนั้นจำเลยที่ 2 ได้เข้ามาช่วยเหลือจำเลยที่ 1 โดยเตะโจทก์ร่วมและใช้ไม้ตีถูกบริเวณทัดดอกไม้อย่างแรงต่อมามีคนมาห้ามจนเลิกกัน ส่วนจำเลยทั้งสองนำสืบอ้างว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 มากับสามี เมื่อโจทก์ร่วมเห็นก็ได้เข้ามาทำร้ายจำเลยที่ 1 ทันที โดยใช้มือกระชากผมและตบที่ใบหน้าหลายครั้งจำเลยที่ 1 จึงเข้ากอดเอวโจทก์ร่วม ขณะกอดปล้ำกันอยู่ จำเลยที่ 1ดึงมีดจากเอวของโจทก์ร่วมแล้วใช้แทงโจทก์ร่วมเพื่อป้องกันตัวส่วนจำเลยที่ 2 มิได้เข้าไปช่วยเหลือจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด เห็นว่าข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองตรงกับคำเบิกความของนายประเสริฐ เศษสินประจักษ์พยานโจทก์และโจทก์ร่วมที่ว่า เห็นโจทก์ร่วมเข้าไปคุยกับจำเลยที่ 1 จากนั้นโจทก์ร่วมใช้มือจับผมและตบใบหน้าจำเลยที่ 1แล้วทั้งคู่กอดปล้ำต่อสู้กันและเมื่อมีคนมาห้ามจึงทราบว่าโจทก์ร่วมถูกจำเลยที่ 1 ใช้มีดแทง สำหรับจำเลยที่ 2 มิได้เข้าไปต่อสู้ด้วยพยานปากนี้ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับโจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสองนับได้ว่าเป็นพยานคนกลาง จึงมีน้ำหนักให้เชื่อถือได้ว่าเบิกความไปตามความจริงที่เกิดขึ้น ที่โจทก์ร่วมฎีกาว่านายประเสริฐเป็นญาติใกล้ชิดกับจำเลยที่ 1 นั้น เป็นการกล่าวอ้างอย่างเลื่อนลอยเพราะไม่ปรากฏหลักฐานดังกล่าวตามที่คู่ความนำสืบมาแต่อย่างใดจึงรับฟังไม่ได้ และที่โจทก์ร่วมฎีกาอีกข้อว่า เหตุที่โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1ต่อสู้ทำร้ายกันเนื่องจากจำเลยที่ 1 สมัครใจวิวาทกับโจทก์ร่วมเพราะเมื่อโจทก์ร่วมถามจำเลยที่ 1 ถึงเรื่องที่จำเลยที่ 1ด่าบิดาโจทก์ร่วม จำเลยที่ 1 กลับโต้ตอบว่า ให้กลับไปถามพ่อมึงดูมีลักษณะเปรียบเหมือนการด่าพ่อหรือแม่นั้นเห็นว่า ถ้อยคำที่จำเลยที่ 1 ตอบไปนั้นหาได้มีความหมายดังที่โจทก์ร่วมอ้างไม่แต่เป็นคำพูดที่จำเลยที่ 1 ไม่ต้องการตอบคำถามของโจทก์ร่วมเท่านั้นอันเป็นพฤติกรรมชี้ให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ 1 ได้ว่าไม่ประสงค์จะมีข้อวิวาทกับโจทก์ร่วมมากกว่า ข้อเท็จจริงจึงมิใช่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 สมัครใจเข้าวิวาทกับโจทก์ร่วม เมื่อจำเลยที่ 1ถูกโจทก์ร่วมเข้าทำร้ายก่อนเช่นนี้ จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิที่จะป้องกันตนเองได้ มีปัญหาว่าจำเลยที่ 1 กระทำการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ในข้อนี้ได้ความว่าโจทก์ร่วมเข้าทำร้ายจำเลยที่ 1โดยใช้มือกระชากผมและตบใบหน้าหลายครั้ง จากนั้นทั้งคู่เข้ากอดปล้ำกันแล้วจำเลยที่ 1 ใช้มีดเป็นอาวุธแทงโจทก์ร่วมบริเวณเอว เห็นว่าแม้โจทก์ร่วมจะมีรูปร่างสูงใหญ่กว่าจำเลยที่ 1 แต่ทั้งสองต่างเป็นผู้หญิงและมีอายุใกล้เคียงกัน จำเลยที่ 1 จึงไม่น่าจะเสียเปรียบโจทก์ร่วมในการชุลมุนต่อสู้จนถึงกับเป็นภยันตรายแก่ตนเองทันทีประกอบกับสามีจำเลยที่ 1 ก็อยู่ในบริเวณที่เกิดเหตุสามารถที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ได้โดยไม่ยากนัก การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงทำร้ายโจทก์ร่วมซึ่งปราศจากอาวุธที่บริเวณเอวจึงเป็นการป้องกันเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน จำเลยที่ 1 จะอ้างเป็นข้อแก้ตัวเพื่อให้พ้นผิดไม่ได้ เพียงแต่ว่าศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้เท่านั้น มีปัญหาว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า บาดแผลที่โจทก์ร่วมได้รับนั้นแม้จะเป็นบริเวณเอวและช่องท้อง แต่จำเลยที่ 1 ไม่มีโอกาสที่จะเลือกแทงได้ เนื่องจากกำลังกอดปล้ำกับโจทก์ร่วมอยู่ ทั้งจำเลยที่ 1 หยุดทำร้ายโจทก์ร่วมทันทีเมื่อมีคนมาห้าม และส่งมีดให้ยึดไว้โดยดี แสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ 1 ได้ว่า ไม่ประสงค์ต่อชีวิตของโจทก์ร่วม คงมีเจตนาทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมเท่านั้น การกระทำของจำเลยที่ 1จึงมีความผิดฐานทำร้ายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายส่วนจำเลยที่ 2 นั้นไม่ได้เข้าไปร่วมหรือช่วยเหลือจำเลยที่ 1ทำร้ายโจทก์ร่วมด้วย จึงมิอาจฟังลงโทษจำเลยที่ 2 ได้ ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 69 ให้จำคุก 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน เพื่อให้โอกาสจำเลยที่ 1 กลับตัวประพฤติตนเป็นพลเมืองดีอีกครั้ง โทษจำคุกเห็นควรรอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ไม่ชำระค่าปรับ จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3