แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ จะขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดการเพิกถอนชื่อโจทก์แล้วใส่ชื่อจำเลยหาได้ไม่เพราะโจทก์ไม่มีหน้าที่อย่างใดในทางนิติกรรมที่จะต้องโอนที่พิพาทให้แก่จำเลยเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องดำเนินการให้มีชื่อของตนในโฉนดต่อไป
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งรวมพิจารณาเข้าด้วยกันโดยให้เรียกนายบรรยงค์ รัตนวิภาพงศ์ ว่าโจทก์ นายแสวง สายนะราว่าจำเลยที่ 1 นางเรณู สายนะรา ว่าจำเลยที่ 2
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 12186 ตำบลปรุใหญ่ (โพธิ์กลาง) อำเภอเมืองนครราชสีมาจังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ประมาณ 1 งาน 97 ตารางวา จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นสามีภรรยากัน และบริวารได้บุกรุกเข้าครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งแปลง เป็นการจงใจละเมิด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์และห้ามมิให้ยุ่งเกี่ยวอีกต่อไป ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 36,000 บาทและนับจากวันฟ้องจนกว่าจะออกจากที่ดินของโจทก์อัตราเดือนละ500 บาท จำเลยทั้งสองให้การร่วมกันว่า โจทก์มีชื่อในโฉนดที่ดินเท่านั้น แต่หามีกรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าวไม่ เพราะจำเลยทั้งสองและครอบครัวครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์แล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง สำนวนหลังจำเลยที่ 1ยื่นคำร้องขอว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 12186เนื้อที่ 1 งาน 97 ตารางวา ของร้อยโทขุนอุดมเวชชศาสตร์ และโจทก์โดยปรปักษ์ โดยเปิดเผยด้วยความสงบและเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเกินกว่า 10 ปี จำเลยที่ 1 จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย ขอให้มีคำสั่งหรือคำพิพากษาว่าจำเลยที่ 1ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินตามโฉนดดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ให้เพิกถอนชื่อผู้เป็นเจ้าของที่ดินออกเสียและใส่ชื่อจำเลยที่ 1แทน โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่พิพาทโดยเช่าซื้อมาจากร้อยโทขุนอุดมเวชชศาสตร์ตั้งแต่ปี 2509 และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม2511 จำเลยที่ 1 ไม่ได้ครอบครองที่พิพาทอย่างเป็นเจ้าของโดยเปิดเผยและมิได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ขอให้ยกคำร้องขอศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์โฉนดเลขที่ 12186 ตำบลปรุใหญ่ (โพธิ์กลาง) อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา และห้ามเกี่ยวข้อง กับให้ชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 300 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดินของโจทก์ และให้ยกฟ้องคดีของจำเลยที่ 1 ในสำนวนหลัง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ เป็นว่า จำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 12186 หมู่ที่ 11 ตำบลปรุใหญ่ (โพธิ์กลาง)อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 1 งาน 97 ตารางวาตามแผนที่หมาย ล.1 ให้เพิกถอนชื่อผู้เป็นเจ้าของที่ดินตามโฉนดดังกล่าวออกแล้วใส่ชื่อจำเลยที่ 1 และให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 12186 ตำบลปรุใหญ่ (โพธิ์กลาง)อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา เนื้อที่ 1 งาน 97 ตารางวามีชื่อโจทก์ถือกรรมสิทธิ์เมื่อปี 2511 ปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 ได้เข้าครอบครองปรปักษ์เกินสิบปีจนได้กรรมสิทธิ์หรือไม่โจทก์เบิกความว่า หลังจากรับโอนมาในปี 2511 แล้ว ต่อมาในปี 2514ได้มอบให้นายสังวาลย์และครอบครัวเข้าไปปลูกกระต๊อบและปลูกต้นไม้เช่นต้นขนุน นายสังวาลย์อยู่ได้ 2 ปี ก็ออกไป หลังจากนั้นโจทก์ไม่ได้ให้ผู้ใดเข้าไปอยู่ในที่พิพาทอีก จนประมาณต้นปี 2521โจทก์ได้ไปดูที่พิพาทพบจำเลยที่ 1 และครอบครัวปลูกบ้านอยู่ได้สอบถามจำเลยที่ 1 ว่าขออาศัยไม่มีที่อยู่ โจทก์ก็ให้อาศัยแต่ให้ช่วยดูแลที่ดินให้ด้วย ในปี 2526 โจทก์ต้องการทำประโยชน์ให้จำเลยที่ 1 ย้ายออกไป จำเลยที่ 1 ไม่ยอมออก โจทก์จึงฟ้องเห็นว่า ตั้งแต่โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทในปี 2511 โจทก์ได้ให้นายสังวาลย์เข้าไปอาศัยปลูกกระต๊อบอยู่ในปี 2514 อยู่ได้ 2 ปีเศษนายสังวาลย์ย้ายออกไป ไม่มีผู้ใดเข้ามาอยู่อีก นายสังวาลย์เทียนศรี พยานโจทก์เบิกความว่า เมื่อเข้าไปอยู่สภาพที่ดินยังเป็นป่าไม่มีผู้ใดเข้าไปอยู่อาศัย ได้ปลูกต้นขนุนและกอไผ่ในที่พิพาทไม่มีต้นมะพร้าวและทั้งสี่ด้านไม่มีต้นมะพร้าว แต่เมื่อศาลชั้นต้นเผชิญสืบที่พิพาทเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2527 บันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาว่าที่พิพาทมีบ้านสภาพเก่า หลังคามุงสังกะสี2 หลัง หลังใหญ่และหลังเล็ก บ้านหลังใหญ่เลขที่ 362 หมู่ที่ 11บนที่ดินมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ได้แก่ ต้นแต้ ต้นนุ่น และต้นขนุนนอกนั้นเป็นพืชไม้ล้มลุก มีต้นมะพร้าว อยู่ติดที่พิพาทด้านทิศตะวันตก จำนวน 5 ต้น ซึ่งมีอายุมากแล้ว ต้นสูงและให้ผลซึ่งฝ่ายจำเลยนำสืบว่า จำเลยปลูกต้นมะพร้าวและไม้ยืนต้นอายุเกิน10 ปีทั้งสิ้น เมื่อเข้าไปอยู่ทีแรกในปี 2505 ได้ปลูกบ้านหลังเล็กก่อน ส่วนบ้านหลังใหญ่ปลูกเสร็จในปี 2515 แต่เพิ่งขอหมายเลขบ้านในปี 2521 ได้เลขที่ 362 ตามเอกสารหมาย จ.1 ในคดีที่จำเลยที่ 1ยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อแสดงกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทนั้น โจทก์ยื่นคำคัดค้านไว้ว่า “นับตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. 2521 เป็นต้นมา จนบัดนี้ผู้คัดค้านไม่ได้ไปดูแลที่ดินเนื่องจากภารกิจทางการค้ามากเพิ่งได้เข้าไปตรวจสอบที่ดินเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2526 จึงทราบว่าผู้ร้องเข้าไปปลูกบ้านอยู่อาศัยตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 2521″ ศาลฎีกาเห็นว่า นับแต่โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทตั้งแต่ปี 2511 ได้ให้นายสังวาลย์เข้าไปอยู่อาศัยดูแลในปี 2514 ประมาณ 2 ปีนายสังวาลย์ก็ออกไป แล้วไม่มีผู้ใดเข้ามาอยู่ดูแลอีกเลยจนกระทั่งถึงปี 2526 ถ้าโจทก์มาดูแลก่อนนั้นก็ต้องเห็นจำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาท และมีไม้ยืนต้นอีกมากมาย คดีฟังได้ว่า จำเลยที่ 1ครอบครองที่พิพาทโดยความสงบและเปิดเผยด้วย เจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเกินสิบปีแล้ว ได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น แต่ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนชื่อโจทก์ตามโฉนดที่พิพาทออก แล้วใส่ชื่อจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทของโจทก์โดยการครอบครองปรปักษ์เท่านั้น จำเลยที่ 1 จะขอให้เจ้าพนักงานที่ดินจัดการเพิกถอนชื่อโจทก์และใส่ชื่อจำเลยที่ 1หาได้ไม่ เพราะโจทก์ไม่มีหน้าที่อย่างใดในทางนิติกรรมที่จะต้องโอนที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ที่จะต้องดำเนินการให้มีชื่อของตนในโฉนดต่อไป”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอของจำเลยที่ 1 ที่ให้เพิกถอนชื่อผู้เป็นเจ้าของที่ดินออกและใส่ชื่อจำเลยที่ 1 แทน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์