คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3231/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการฎีกา บัญญัติให้คู่ความผู้ยื่นฎีกาต้องกล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างไว้ให้ชัดแจ้งในฎีกา แต่ฎีกาของจำเลยทั้งสองเพียงแต่อ้างข้อเท็จจริงที่ได้จากทางนำสืบของโจทก์และจำเลยมาแสดงประกอบคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น แล้วอ้างว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยตามประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดไว้และตามคำให้การที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ไว้ เมื่อปรากฏว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนของโจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ถูกกลับโดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และฎีกาของจำเลยทั้งสองมิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่า ไม่ถูกต้องอย่างไร และที่ถูก ต้องเป็นอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้น เมื่อข้อต่อสู้ตามฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า ศาลชั้นต้นมิได้ฟังข้อเท็จจริงนอกคำให้การ ไม่ขัดต่อ ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง และมาตรา 177 ดังกล่าวเป็นฎีกาในข้อกฎหมายที่ไม่ชัดแจ้ง ทั้งเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยอันมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และคดีในส่วนของโจทก์แต่ละคนมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นฎีกาที่มิชอบ และไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย แม้ศาลฎีกาจะมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองในประเด็นดังกล่าว กรณีก็ไม่มีเหตุที่จะวินิจฉัยให้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสี่ฟ้องและแก้ไขฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 แบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 4920 ตำบลศรีแก้ว อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ แก่โจทก์ทั้งสี่คนละ 1 ไร่ 2 งาน และให้จำเลยที่ 2 แบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินโฉนดเลขที่ 4915 ตำบลศรีแก้ว อำเภอศรีรัตนะ จังหวัดศรีสะเกษ แก่โจทก์ทั้งสี่คนละ 2 ไร่ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง หากโฉนดที่ดินสูญหาย ให้เจ้าพนักงานที่ดินออกใบแทนให้ใหม่ และหากตกลงกันไม่ได้ ให้นำที่ดินทั้งสองแปลงออกขายทอดตลาดนำเงินแบ่งปันกันตามส่วน
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นตรวจคำให้การแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองให้การไม่ชัดแจ้งไม่มีประเด็นที่จะสืบ ให้สืบ พยานโจทก์ไปฝ่ายเดียว แล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 4920 แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คนละหนึ่งในหกส่วนแต่ไม่เกินคนละ 1 ไร่ 2 งาน และให้จำเลยที่ 2 แบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 4915 แก่โจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 คนละหนึ่งในหกส่วนแต่ไม่เกินคนละ 2 ไร่ ตามขอ โดยการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมให้เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 โดยกำหนดค่าทนายความรวม 15,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยทั้งสองในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา
ศาลฎีกามีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองเฉพาะข้อ 2.1 ที่ว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงนอกคำให้การหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า นายแย้มกับนางก๋วง มีบุตร 6 คน คือ จำเลยที่ 1 ที่ 2 นายมี นายลาย นายพันธ์ และโจทก์ที่ 1 แต่นายพันธ์ นายลาย และนายมีถึงแก่ความตาย โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นบุตรของบุคคลดังกล่าวตามลำดับ เดิมนายแย้มและนางก๋วงครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่า มีคลองส่งน้ำผ่านกลาง ตั้งอยู่ตำบลศรีแก้ว อำเภอศรีรัตนะ (อำเภอกันทรลักษณ์ เดิม) จังหวัดศรีสะเกษ ภายหลังนายแย้มถึงแก่ความตาย ทางราชการประกาศแจ้งให้ผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินยื่นขอออกเอกสารสิทธิ จำเลยที่ 1 จึงขอออกเอกสารสิทธิที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันตกของคลองส่งน้ำเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เนื้อที่ 12 ไร่ 3 งาน 90 ตารางวา ในนามจำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ขอออกเอกสารสิทธิที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันออกของคลองส่งน้ำ เนื้อที่ 15 ไร่ 2 งาน ในนามจำเลยที่ 2 ครั้นปี 2532 นางก๋วงถึงแก่ความตาย หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองร้องขอเปลี่ยนเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาทเป็นโฉนดที่ดิน โดยที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันตกของคลองส่งน้ำ เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 4920 มีชื่อจำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ ส่วนที่ดินพิพาทด้านทิศตะวันออกของคลองส่งน้ำ เป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 4915 มีชื่อจำเลยที่ 2 ถือกรรมสิทธิ์ ต่อมาโจทก์ทั้งสี่อ้างว่า โจทก์ที่ 1 กับนายพันธ์ นายลาย และนายมี ร่วมครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา และมอบให้จำเลยทั้งสองขอออกเอกสารสิทธิ และลงชื่อถือสิทธิครอบครองและถือกรรมสิทธิ์แทนพี่น้องทุกคน พร้อมกับเรียกให้จำเลยทั้งสองแบ่งกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงแก่โจทก์ทั้งสี่ตามสัดส่วน แต่จำเลยทั้งสองปฏิเสธ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองเพียงว่า ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงนอกคำให้การหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ซึ่งเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการฎีกา บัญญัติให้คู่ความผู้ยื่นฎีกาต้องกล่าวถึงข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างไว้ให้ชัดแจ้งในฎีกา แต่ฎีกาของจำเลยทั้งสองเพียงแต่อ้างข้อเท็จจริงที่ได้จากทางนำสืบของโจทก์และจำเลยมาแสดงประกอบคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น แล้วอ้างว่าศาลชั้นต้นวินิจฉัยตามประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดไว้และตามคำให้การที่จำเลยทั้งสองต่อสู้ไว้ เมื่อปรากฏว่าคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนของโจทก์ที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 ถูกกลับโดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และฎีกาของจำเลยทั้งสองมิได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ว่าไม่ถูกต้องอย่างไร และที่ถูก ต้องเป็นอย่างไร อันนับเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้น ประกอบกับข้อต่อสู้ตามฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่า ศาลชั้นต้นมิได้ฟังข้อเท็จจริงนอกคำให้การ ไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง และมาตรา 177 แม้เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัย ทั้งเป็นการเถียงข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่ยุติเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยทั้งสองอ้าง อันมีผลอย่างเดียวกับการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อคดีในส่วนของโจทก์แต่ละคนมีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นฎีกาที่มิชอบ และไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ดังนั้น แม้ศาลฎีกาจะมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยทั้งสองในประเด็นดังกล่าว กรณีก็ไม่มีเหตุที่จะวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของจำเลยทั้งสอง ให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาทั้งหมดแก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียม นอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share