คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3231/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เจ้าพนักงานตำรวจขอตรวจค้นรถของจำเลย ครั้งแรกจำเลยไม่ยอมให้ค้นเนื่องจากเกรงว่าตำรวจจะกลั่นแกล้งเพราะเหตุที่เคยมีสาเหตุกับตำรวจนั้นมาก่อนในที่สุดจำเลยยอมให้ค้นดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยขาดเจตนาต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา138
การที่จำเลยว่าตำรวจจะเอาของผิดกฎหมายใส่รถจำเลย ตำรวจจะรุททำร้ายจำเลย ไม่แน่ใจว่าเป็นตำรวจ ตำรวจแต่งเครื่องแบบปล้นก็มี เป็นการกล่าวเพราะเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยถูกตำรวจกลั่นแกล้ง เนื่องจากตำรวจหาเหตุมาหยุดรถและค้นรถของจำเลยโดยเฉพาะ การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำเช่นนั้นจึงเป็นการปกป้องตนเอง มิให้ตำรวจกระทำการดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136
ตำรวจรู้จักชื่อและที่อยู่จำเลยแล้วเพราะเคยไปค้นบ้านจำเลยมาก่อน ไม่มีความจำเป็นอย่างไรที่จะต้องถามชื่อและที่อยู่จำเลยอีก การที่จำเลยมิได้แจ้งชื่อและที่อยู่ตามที่ตำรวจถาม จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 367.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 136, 138,367, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา136, 91 ให้ลงโทษจำคุก 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138 ให้ปรับ 500 บาท และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 367 ปรับ 100 บาท รวมเป็นจำคุก 1 เดือน ปรับ 600 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าคืนวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 22 นาฬิกา ร้อยตำรวจเอกวิเชียร มณีสุข กับพวกตำรวจอีก 4 นายได้นำรถยนต์ไปจอดที่ถนนเขาแดงตรงทางแยกเข้าค่ายลูกเสือที่เกิดเหตุ จำเลยได้ขับรถยนต์จากสุสานเขาแดงผ่านมา ตำรวจได้ใช้ไฟฉาย และเปิดไฟหน้ารถเพื่อให้จำเลยหยุดรถ ได้มีการโต้เถียงกันระหว่างตำรวจกับจำเลย มีปัญหาในชั้นนี้ว่าการกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกวิเชียร มณีสุข และสิบตำรวจโทสมัยป้องกัน พยานโจทก์ว่า เหตุที่ตำรวจมาตั้งหน่วยตรวจที่บริเวณทางแยกเข้าเขาแดง ตำบลสาริกา ที่เกิดเหตุ เพราะสิบตำรวจโทสมัยได้ทราบจากชาวบ้านว่า มีชายแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้านเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ จึงแจ้งให้ร้อยตำรวจเอกวิเชียรทราบ ต่อจากนั้นได้มาตั้งหน่วยตรวจดังกล่าว เห็นว่า การที่ตำรวจจะตั้งหน่วยตรวจน่าจะได้กระทำให้เป็นกิจจะลักษณะโดยมีป้ายแจ้งให้ประชาชนที่ผ่านไปมาทราบ โดยเฉพาะเวลากลางคืนก็น่าจะมีแสงไฟให้เห็นเป็นที่สังเกตได้ มิใช่นำรถยนต์มาจอดซุ่มเมื่อต้องการจะตรวจรถยนต์คันไหนก็เปิดไฟให้หยุดเช่นนี้ได้ความจากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอกวิเชียรว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ประมาณ 1 เดือน ตำรวจเคยไปค้นบ้านจำเลย และตำรวจถูกจำเลยร้องเรียนต่อสารวัตรใหญ่ ด้วยเหตุนี้อาจทำให้ตำรวจไม่พอใจจำเลย ทั้งยังปรากฏว่า เมื่อตำรวจเรียกให้จำเลยหยุดแล้วตำรวจก็มีกรณีกับจำเลยเพียงคนเดียว ส่วนบุคคลที่นั่งมาในรถของจำเลยอีก 2 คนตำรวจไม่ได้สนใจสอบถามและตรวจค้น ถ้าตำรวจตั้งใจมาตั้งหน่วยตรวจจริง ร้อยตำรวจเอกวิเชียรไม่น่าจะแต่งกายครึ่งท่อนมาเช่นนั้น ทั้งยังปรากฏว่า ที่เรียกให้จำเลยหยุดรถร้อยตำรวจเอกวิเชียรยังคงนั่งอยู่ในรถ เพิ่งจะลงมาเมื่อได้ยินเสียงโวยวายจากจำเลยพฤติการณ์ดังกล่าวอาจทำให้จำเลยเข้าใจไปได้ว่าตำรวจมีเจตนาไปคอยดักจับจำเลยเนื่องจากมีสาเหตุกันมากกว่าการไปตั้งหน่วยตรวจเป็นกิจจะลักษณะเพื่อตรวจรถทั่วๆ ไป สำหรับจำเลยนี้ยังไม่ปรากฏว่าได้กระทำความผิดหรือมีเหตุอันสมควรสงสัยว่าจะกระทำความผิด ที่สิบตำรวจโทสมัยเบิกความว่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีคนร้าย 2 คนที่ประสงค์ต่อทรัพย์ ก็เป็นการเบิกความลอยๆ หามีรายละเอียดว่าคนร้ายมีพฤติการณ์อย่างไรอันทำให้น่าเชื่อว่าจะมีการกระทำผิดอาญาเกิดขึ้น ครั้งแรกที่ตำรวจขอค้นและจำเลยไม่ยอมให้ค้นนั้น จำเลยอาจเข้าใจโดยสุจริตว่าจะถูกตำรวจกลั่นแกล้ง เพราะสาเหตุที่จำเลยเคยร้องเรียนตำรวจแต่ในที่สุดเมื่อร้อยตำรวจเอก วิเชียรแสดงตนว่าเป็นนายตำรวจจำเลยก็ยอมเปิดกระโปรงท้ายรถให้ตราจค้นโดยดีแต่เฉพาะตัวรถนั้นจำเลยต้องการพยานคนกลางให้มารู้เห็นในการค้นเพื่อป้องกันการที่ตำรวจจะกลั่นแกล้งในที่สุดจำเลยยอมให้ค้น แต่ไม่พบของผิดกฎหมาย สำหรับความผิดฐานต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานนั้น เห็นว่าจำเลยขาดเจตนากระทำผิดฐานนี้เพราะเหตุที่จำเลยไม่ยอมให้ค้นแต่โดยดีครั้งแรกนั้นข้ออ้างของจำเลยมีเหตุผลฟังได้ว่าจำเลยเกรงว่าตำรวจจะกลั่นแกล้งเพราะเหตุที่เคยมีสาเหตุกันมาก่อน การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด สำหรับข้อหาฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งหน้านั้น เห็นว่าการที่จำเลยกล่าวว่าตำรวจจะเอาของผิดกฎหมายใส่รถจำเลยก็ดี เป็นการกล่าวเพราะจำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าจำเลยถูกตำรวจกลั่นแกล้ง พฤติการณ์ของตำรวจดังกล่าวแล้วข้างต้นฟังได้ว่าตำรวจหาเหตุมาหยุดรถและค้นรถของจำเลยโดยเฉพาะ การที่จำเลยกล่าวถ้อยคำเช่นนั้นน่าจะเป็นการปกป้องตนเอง มิให้ตำรวจกระทำการดังกล่าวจำเลยหาได้มีเจตนาดูหมิ่นตำรวจไม่ สำหรับความผิดฐานไม่ยอมบอกชื่อและที่อยู่ของจำเลยนั้น ทางพิจารณาได้ความว่าตำรวจรู้จักชื่อและที่อยู่ของจำเลยแล้วเพราะเคยไปค้นบ้านจำเลยมาก่อน จึงไม่มีความจำเป็นอย่างไรที่จะต้องถามชื่อและที่อยู่จำเลยอีกการที่จำเลยมิได้แจ้งชื่อและที่อยู่จึงไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย………….’
พิพากษายืน.

Share