แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ผู้เสียหายและ อ. ซึ่งเป็นประจักษ์พยานไม่ได้มาเบิกความ อันเป็นเหตุจำเป็นให้ศาลรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและ อ. ซึ่งเป็นพยานบอกเล่าได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๖/๓ วรรคสอง (๒) ก็ตาม แต่การที่ศาลจะวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานดังกล่าว ป.วิ.อ. มาตรา ๒๒๗/๑ บัญญัติให้ศาลต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพัง เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่นดังนี้ เมื่อคำให้การของผู้เสียหายและ อ. ที่ว่าจำเลยใช้ขวดเบียร์ตีศีรษะผู้เสียหาย แต่ตามใบนำส่งผู้บาดเจ็บให้แพทย์ตรวจชันสูตร ไม่ปรากฏบาดแผลที่ศีรษะของผู้เสียหายระบุไว้ และบันทึกคำให้การของ อ. ก็ปรากฏข้อเท็จจริงว่า อ. เองก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์โดยตลอดเพราะหลังจาก อ. เข้าไปห้ามระงับเหตุและถูกถีบออกมาแล้ว อ. ก็วิ่งหนีไปบ้านญาติ ประกอบกับได้ความจากพยานโจทก์ปาก อ. ภริยาของผู้เสียหายว่า คืนเกิดเหตุผู้เสียหายดื่มสุราในงานศพจนมีอาการมึนเมา และสภาพภายในร้านคาราโอเกะที่เกิดเหตุที่พยานเคยไปเที่ยวนั้นจะเปิดไฟสลัวแสงสว่างไม่ชัดเจนซึ่งก็ขัดกับคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย จึงเป็นพยานบอกเล่าที่ไม่มีน้ำหนักหนักแน่นเพียงพอที่จะใช้รับฟังลงโทษจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 288, 371
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 371 และมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยมีอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 5 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควร ปรับ 50 บาท รวมจำคุก 5 ปี และปรับ 50 บาท อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 104 (2) ประกอบมาตรา 105 ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยไปฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีกำหนดขั้นต่ำ 6 เดือน ขั้นสูง 1 ปี หากจำเลยอายุครบ 24 ปีบริบูรณ์ แต่ยังควบคุมตัวไม่ครบกำหนดระยะเวลาฝึกอบรมขั้นต่ำหรือขั้นสูงแล้วแต่กรณีเหลือระยะเวลาเท่าใดให้ส่งตัวจำเลยไปจำคุกจนกว่าจะครบกำหนดระยะเวลาฝึกอบรมดังกล่าวตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 104 วรรคสาม กรณีจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้ควบคุมเพื่อฝึกอบรมเพิ่มอีก 1 วัน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2534 มาตรา 107
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานปากผู้เสียหายและนายอภิชาติ ซึ่งอยู่กับผู้เสียหายในที่เกิดเหตุมาเบิกความต่อศาลมีเพียงข้อเท็จจริงจากบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและนายอภิชาติซึ่งให้การทำนองเดียวกันว่า คืนเกิดเหตุผู้เสียหายกับนางอุไรวรรณ ภริยาผู้เสียหายไปร่วมงานศพภายในหมู่บ้าน ผู้เสียหายให้นายอภิชาติซึ่งเป็นหลานขับรถจักรยานยนต์ไปส่งที่บ้าน แต่เนื่องจากบ้านของผู้เสียหายอยู่ติดกับร้านคาราโอเกะซึ่งจำเลยกับพวกนั่งดื่มสุราและร้องเพลงเสียงดัง ทำให้ผู้เสียหายนอนไม่หลับผู้เสียหายจึงเดินเข้าไปขอร้องให้เบาเสียงเพลงเนื่องจากต้องการพักผ่อน จำเลยกับพวกเข้ารุมทำร้ายผู้เสียหาย โดยนายเน็คไม่ทราบชื่อและชื่อสกุลจริงใช้อาวุธมีดแทงผู้เสียหายที่ต้นคอด้านหลังสามครั้ง ส่วนนายมดซึ่งเป็นชื่อเล่นของจำเลยใช้ขวดเบียร์ตีที่ศีรษะผู้เสียหาย หลังจากนั้นพวกของจำเลยยังเข้ามารุมกระทืบซ้ำจนผู้เสียหายสลบไป คดีนี้แม้ได้ความจากข้อเท็จจริงในสำนวนว่า ผู้เสียหายป่วยเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องแล้วออกจากบ้าน ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด ส่วนนายอภิชาติเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งทำให้ไม่อาจมาเบิกความเป็นพยาน อันเป็นเหตุจำเป็นให้ศาลรับฟังคำให้การของผู้เสียหายและนายอภิชาติซึ่งเป็นพยานบอกเล่าได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 วรรคสอง (2) ก็ตาม แต่การที่ศาลจะวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานดังกล่าว ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1 บัญญัติให้ศาลต้องกระทำด้วยความระมัดระวัง และไม่ควรเชื่อพยานหลักฐานนั้นโดยลำพัง เว้นแต่จะมีเหตุผลอันหนักแน่นดังนี้ เมื่อคำให้การของผู้เสียหายและนายอภิชาติที่ว่าจำเลยใช้ขวดเบียร์ตีศีรษะผู้เสียหาย แต่ตามใบนำส่งผู้บาดเจ็บให้แพทย์ตรวจชันสูตร ไม่ปรากฏบาดแผลที่ศีรษะของผู้เสียหายระบุไว้ และบันทึกคำให้การของนายอภิชาติ ก็ปรากฏข้อเท็จจริงว่า นายอภิชาติเองก็ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์โดยตลอดเพราะหลังจากนายอภิชาติเข้าไปห้ามระงับเหตุและถูกถีบออกมาแล้ว นายอภิชาติก็วิ่งหนีไปบ้านญาติ ประกอบกับได้ความจากพยานโจทก์ปากนางอุไรวรรณ ภริยาของผู้เสียหายเบิกความว่า คืนเกิดเหตุผู้เสียหายดื่มสุราในงานศพจนมีอาการมึนเมา และสภาพภายในร้านคาราโอเกะที่เกิดเหตุที่พยานเคยไปเที่ยวนั้นจะเปิดไฟสลัวแสงสว่างไม่ชัดเจนซึ่งก็ขัดกับคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและนายอภิชาติที่อ้างว่า ภายในร้านมีแสงสว่างเพียงพอทำให้เห็นคนร้ายได้ชัดเจน นอกจากนี้ นางอุไรวรรณยังเบิกความด้วยว่า เมื่อพยานไปเยี่ยมผู้เสียหายที่โรงพยาบาล ผู้เสียหายบอกแก่พยานว่าจำคนร้ายไม่ได้ เพราะขณะถูกทำร้ายมีอาการมึนเมา ดังนี้ บันทึกคำให้การของผู้เสียหายและนายอภิชาติซึ่งจำเลยไม่มีโอกาสซักค้านขยายความจริงและมีข้อเท็จจริงที่ไม่ตรงกับคำเบิกความของนางอุไรวรรณในหลายประเด็น จึงเป็นพยานบอกเล่าที่ไม่มีน้ำหนักหนักแน่นเพียงพอที่จะใช้รับฟังลงโทษจำเลย สำหรับพยานโจทก์ปากที่เหลือคือร้อยตำรวจเอกพนม พนักงานสอบสวน ก็เป็นเพียงผู้สอบปากคำผู้เสียหายและนายอภิชาติไม่ได้รู้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยตรง ทั้งไม่ปรากฏว่ามีการสอบปากคำเจ้าของร้านคาราโอเกะหรือพนักงานในร้านซึ่งเป็นประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุอันอาจเป็นพยานสำคัญในคดีไว้ ดังนี้ ลำพังพยานหลักฐานของโจทก์ตามที่นำสืบมาจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้อง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่า ข้อเท็จจริงที่จำเลยเบิกความในชั้นศาลขัดแย้งกับข้อเท็จจริงในรายงานข้อเท็จจริงของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนนั้น เนื่องจากรายงานข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลใช้รับฟังประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษจำเลย ไม่ได้นำมาใช้รับฟังเป็นพยานหลักฐานว่าจำเลยกระทำความผิดจริงหรือไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้จึงฟังไม่ขึ้น ส่วนฎีกาของโจทก์ข้ออื่นไม่ทำให้ผลคำพิพากษาเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่วินิจฉัยให้ อนึ่ง ความผิดฐานพาอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 มีอัตราโทษปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 จึงถึงที่สุดในศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้องความผิดฐานพาอาวุธโดยไม่ได้วินิจฉัยเหตุผลไว้ จึงไม่ชอบ อย่างไรก็ตามในชั้นฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์ไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่กระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่า จึงอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ศาลฎีกาจึงมีอำนาจพิพากษายกฟ้องในความผิดฐานพาอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกันไปได้ด้วย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
พิพากษายืน