แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์เอาประกันภัยสต๊อกสินค้า รองเท้าทุกชนิดในร้านค้าของโจทก์ไว้กับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 200,000 บาท จำเลยที่ 2ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 เบิกความรับว่า จำเลยที่ 1รับประกันภัยเฉพาะรองเท้าและสินค้าที่อยู่ในร้านโจทก์ ดังนั้นสต๊อกสินค้า รองเท้าทุกชนิด ซึ่งเป็นวัตถุที่เอาประกันภัยไว้จึงมีความหมายรวมถึงรองเท้าและเครื่องหนังทุกชนิด ที่โจทก์มีไว้ในร้านเพื่อขาย มิใช่กรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองแต่รองเท้าอย่างเดียว เมื่อสินค้าในร้านของโจทก์ได้ถูกเพลิงไหม้เสียหายโดยสิ้นเชิง และประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 877ได้สันนิษฐานเป็นคุณแก่โจทก์ไว้ก่อนว่า โจทก์มีสิทธิจะเรียกให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้เต็มจำนวนที่เอาประกันภัยไว้เว้นแต่จำเลยที่ 1 จะพิสูจน์หักล้างได้ว่า ความเสียหายของสินค้านั้นต่ำกว่าจำนวนเงินที่ได้เอาประกันไว้ เมื่อจำเลยที่ 1ไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงจำนวนสินค้าที่ถูกเพลิงไหม้อันแท้จริงได้ และน่าเชื่อว่าขณะเกิดเพลิงไหม้สินค้ารองเท้าและเครื่องหนังที่วางจำหน่ายอยู่ในร้านโจทก์ มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2527 โจทก์ทำสัญญาเอาประกันภัยสินค้าเครื่องหนังรองเท้าทุกชนิดในร้านเบ้นซ์ของโจทก์ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 366 ถนนเจริญเมือง ตำบลในเวียงอำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ไว้กับจำเลยทั้งสามโดยจำเลยทั้งสามตกลงร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เมื่อเกิดวินาศภัยหรือความเสียหายกับบรรดาทรัพย์ที่โจทก์ได้เอาประกันภัยไว้เป็นเงิน200,000 บาท มีกำหนดอายุการรับประกันภัย 1 ปี นับแต่วันทำสัญญาประกันภัย ต่อมาวันที่ 22 กันยายน 2527 เวลาประมาณ 2 นาฬิกาได้เกิดเพลิงไหม้ร้านเบ้นซ์ของโจทก์ทั้งหมด ทำให้สต๊อกสินค้าเครื่องหนังรองเท้าทุกชนิดถูกเพลิงไหม้เสียหายทั้งหมด คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 1,000,000 บาท โดยไม่ได้เป็นความผิดหรือความประมาทเลินเล่อของโจทก์ โจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสามใช้ค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยแก่โจทก์แล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ดอกเบี้ยของต้นเงิน200,000 บาท นับแต่วันที่ 22 กันยายน 2527 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน18,750 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์218,750 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของทรัพย์ที่เอาประกันภัย จึงไม่มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัย สัญญาประกันภัยเป็นโมฆะ จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1ไม่ได้เป็นผู้รับประกันภัย จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นส่วนตัวโจทก์เป็นผู้ร่วมกับผู้อื่นวางเพลิงหรือจ้างวานใช้บุคคลอื่นให้วางเพลิงทรัพย์ที่เอาประกันภัยโดยเจตนาทุจริต จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์และทรัพย์สินที่เสียหายเป็นเงินไม่เกิน 10,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 22 กันยายน 2527 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมาย จ.3 โจทก์ได้เอาประกันภัยสต๊อกสินค้า รองเท้าทุกชนิดในร้านค้าของโจทก์ไว้กับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 200,000 บาททางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 ได้มอบหมายให้บริษัทเนชั่นแนลเซอร์เวเยอร์ส จำกัด เป็นผู้สำรวจและประเมินค่าเสียหายของโจทก์อันเกิดจากเหตุเพลิงไหม้ในครั้งนี้ บริษัทดังกล่าวได้ทำรายงานเสนอจำเลยที่ 1 ว่า สต๊อกสินค้าของผู้เอาประกันภัยดังกล่าวได้ถูกไฟไหม้เสียหายโดยสิ้นเชิง ตามเอกสารหมาย ล.1 โจทก์นำสืบว่าโจทก์ประกอบการค้ารองเท้าและเครื่องหนังทุกชนิด โดยเปิดเป็นร้านค้าชื่อว่า “เบ้นซ์” ตามใบทะเบียนพาณิชย์ เอกสารหมาย จ.9จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 เบิกความรับว่า จำเลยที่ 1รับประกันภัยเฉพาะรองเท้าและสินค้าที่อยู่ในร้านเบ้นซ์ ดังนั้นสต๊อกสินค้า รองเท้าทุกชนิด ซึ่งเป็นวัตถุที่เอาประกันภัยไว้จึงมีความหมายรวมถึงรองเท้าและเครื่องหนังทุกชนิด ที่โจทก์มีไว้ในร้านเพื่อขาย มิใช่กรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครอง แต่รองเท้าอย่างเดียวดังที่ศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์วินิจฉัย สินค้าดังกล่าวได้ถูกเพลิงไหม้เสียหายโดยสิ้นเชิงซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 877บัญญัติว่า “ผู้รับประกันภัยจำต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนดังจะกล่าวต่อไปนี้ คือ
(1) เพื่อจำนวนวินาศภัยอันแท้จริง
ฯลฯ
อันจำนวนวินาศภัยจริงนั้น ท่านให้ตีราคา ณ สถานที่ และในเวลาซึ่งเหตุวินาศภัยนั้นได้เกิดขึ้น อนึ่งจำนวนเงินที่ได้เอาประกันภัยไว้นั้น ท่านให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นหลักประมาณอันถูกต้องในการตีราคาเช่นว่านั้น” เมื่อฟังได้ว่าสินค้าในร้านของโจทก์ได้ถูกเพลิงไหม้เสียหายโดยสิ้นเชิง บทกฎหมายดังกล่าวจึงได้สันนิษฐานเป็นคุณแก่โจทก์ไว้ก่อนว่า โจทก์มีสิทธิจะเรียกให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าสินไหมทดแทนได้เต็มจำนวนที่เอาประกันภัยไว้เว้นแต่จำเลยที่ 1 จะพิสูจน์หักล้างได้ว่าความเสียหายของสินค้านั้นต่ำกว่าจำนวนเงินที่ได้เอาประกันภัยไว้ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่แท้จริง คดีนี้จำเลยพิสูจน์ได้เพียงว่าหลังจากไฟไหม้ พนักงานสำรวจสินค้าได้ตรวจพบซากรองเท้าที่หลงเหลือจากถูกไฟไหม้จำนวน 7 กอง คิดเป็นค่ารองเท้าประมาณ 27,000 บาท ตามรายละเอียดในเอกสารหมาย ล.1 ส่วนขณะถูกไฟไหม้โจทก์มีสินค้าประเภทเครื่องหนังต่าง ๆ และรองเท้าอยู่ในร้านของโจทก์จำนวนเท่าใด และสินค้าถูกไฟไหม้หมดไปจำนวนเท่าใดจำเลยไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงจำนวนสินค้าที่ถูกเพลิงไหม้อันแท้จริงได้ นอกจากนี้กรณียังมีเหตุผลน่าเชื่อว่า ก่อนจำเลยที่ 1จะรับประกันภัยสินค้าในร้านของโจทก์ จำเลยที่ 1 จะต้องประเมินมูลค่าหรือตีราคาสินค้าในร้านของโจทก์ก่อนแล้ว จึงตกลงรับประกันภัยไว้เป็นเงิน 200,000 บาท แม้จะเกิดเหตุเพลิงไหม้ หลังจากนั้นอีกหลายเดือน ทางพิจารณาก็ไม่ปรากฏว่าร้านของโจทก์กำลังเลิกกิจการโดยไม่มีการสั่งสินค้ามาจำหน่ายเพิ่มเติม ข้อเท็จจริงน่าเชื่อว่าสินค้ารองเท้า และเครื่องหนังอื่น ๆ ที่วางจำหน่ายอยู่ในร้านของโจทก์ ในขณะเกิดเพลิงไหม้มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทเมื่อสินค้าดังกล่าวได้เสียหายไปโดยสิ้นเชิงจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดใช้เงินจำนวน 200,000 บาท แก่โจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัยคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาโจทก์ฟังขึ้น ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวน 200,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22กันยายน 2527 จนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์