คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1050/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 267 และ 268 ในวันที่ 31 สิงหาคม 2513 และ 15 มีนาคม 2520โจทก์จะต้องฟ้องจำเลยสำหรับความผิดดังกล่าวภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันกระทำความผิดทั้งนี้ไม่ว่าโจทก์จะได้รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่ แต่โจทก์เพิ่งฟ้องจำเลยสำหรับความผิดดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2533 โจทก์จึงไม่ได้ฟ้องจำเลยภายในกำหนดสิบปี นับแต่วันกระทำความผิด ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95(3) ตามคำขอรังวัดเปลี่ยน น.ส.3 เป็น น.ส.3 ก. ที่จำเลยยื่นต่อนายอำเภอโดยลงชื่อจำเลยเป็นผู้ขอและมีข้อความระบุว่าจำเลยเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส.3 เอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่จำเลยยื่นต่อเจ้าพนักงานมิใช่เอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานที่จำเลยแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความลงในเอกสารนั้นการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 267 ดังนั้นการที่จำเลยนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) ที่เจ้าพนักงานที่ดินออกให้ตามคำขอของจำเลยดังกล่าวซึ่งไม่ใช่เอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตาม มาตรา 267 ไปคัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดินของโจทก์จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 267 และ 268
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267และมาตรา 268 มีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งโจทก์จะต้องฟ้องจำเลยสำหรับความผิดดังกล่าวภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันกระทำความผิด ทั้งนี้ไม่ว่าโจทก์จะได้รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดหรือไม่มิฉะนั้นคดีเป็นอันขาดอายุความ ดังนั้นเมื่อโจทก์อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 และ 268 ในวันที่31 สิงหาคม 2513 และวันที่ 15 มีนาคม 2520 แต่โจทก์เพิ่งฟ้องจำเลยสำหรับการกระทำความผิดดังกล่าวเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2533โจทก์จึงไม่ได้ฟ้องจำเลยภายในกำหนดสิบปีนับแต่วันกระทำความผิด ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นอันขาดอายุความตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 (3) แล้ว ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น และวินิจฉัยต่อไปว่า ปรากฏว่าเอกสารคำขอรังวัดเปลี่ยนน.ส.3 เป็น น.ส.3 ก. ที่จำเลยยื่นต่อนายอำเภอศรีราชาโดยลงชื่อจำเลยเป็นผู้ขอและมีข้อความระบุว่าจำเลยเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองที่ดิน น.ส. 3 เลขที่ 1528 หมู่ที่ 1 ตำบลหนองขามอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี และมีความประสงค์ขอรังวัดเปลี่ยนน.ส. 3 เป็น น.ส.3 ก. เอกสารดังกล่าวจึงเป็นเอกสารของจำเลยที่จำเลยยื่นต่อเจ้าพนักงานมิใช่เอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน ที่จำเลยแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความลงในเอกสารนั้น เมื่อจำเลยมิได้แจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความลงในเอกสารนั้นการกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงไม่อาจเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 267 ได้แต่อย่างใด ฉะนั้นหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) ตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์ น.ส. 3 ก. ที่เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอศรีราชาออกให้แก่จำเลยเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2532 จึงมิใช่เอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา 267 การที่จำเลยนำหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ดังกล่าวไปคัดค้านการรังวัดออกโฉนดที่ดินของโจทก์ในวันที่ 1 มีนาคม 2533 ตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อนี้นั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผลและเมื่อได้วินิจฉัยเช่นนี้แล้วก็ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป เพราะไม่อาจทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไปได้แต่อย่างใด
พิพากษายืน

Share