คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3219/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยที่ 2 ซึ่งต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันจำนวนเงินไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาท จำนวนสองครั้งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน จำเลยได้รับหนังสือทวงถามแล้วไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่า เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 8(9) และเมื่อฟังประกอบหลักฐานอื่นว่า จำเลยที่ 2 ยังเป็นหนี้โจทก์ในคดีอื่นซึ่งถึงที่สุดโดยจำเลยที่ 2 มิได้โต้แย้งถึงความอยู่และแท้จริงของหนี้ดังกล่าว จึงนำข้อเท็จจริงดังกล่าวมาฟังประกอบดุลพินิจเพื่อมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาดได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้นำเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัดสั่งจ่ายเงิน 280,340 บาท มาขายลดแก่โจทก์ โดยสัญญาว่าหากโจทก์ไม่สามารถเรียกเก็บเงินตามเช็คได้ จำเลยที่ 1 ยอมชำระเงินให้พร้อมด้วยดอกเบี้ย ถึงกำหนดแล้วปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวต่อโจทก์โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม จำเลยทั้งสองจึงต้องร่วมกันรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์ โจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยทั้งสองสองครั้งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวันจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ พฤติการณ์ต้องด้วยข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ จำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มลมละลาย
จำเลยทั้งสองไม่ยื่นคำให้การ
ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 1 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีอื่น โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีโจทก์เฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คธนาคารกรุงเทพ จำกัดสาขาบางขุนนนท์ จำนวนเงิน 280,340 บาท ที่จำเลยที่ 1 นำมาขายลดกับโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงต้อง ร่วมรับผิดต่อโจทก์ ชำระเงินตามเช็คจำนวน 280,340 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ตามสัญญาขายลดเช็คเอกสารหมาย จ.2 คำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 452,246.02 บาทแก่โจทก์ด้วยและเมื่อโจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยที่ 2 จำนวนสองครั้งมีระยะเวลาห้างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน จำเลยที่ 2 ได้รับหนังสือทวงถามแล้วตามเอกสารหมาย จ.7, จ.8, จ.10 และ จ.11 แต่จำเลยที่ 2เพิกเฉย ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่า เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 8 (9) ส่วนที่จำเลยที่ 2 นำสืบว่า จำเลยที่ 2 มีเครื่องจักรซึ่งมีราคารวม 1,650,000 บาท พอที่จะชำระหนี้โจทก์ได้นั้น กลับปรากฏตามสัญญาซื้อขายเครื่องจักรเอกสารหมาย ล.11 ระบุเฉพาะเครื่องลงแป้ง และเครื่องย้อมซึ่งมีราคาเพียง 700,000 บาททั้งเป็นของเก่า ราคาย่อมลดลงตามความเสื่อมสภาพจากการใช้งานส่วนราคาหม้อน้ำพร้อมหัวฉีดและเครื่องกรอด้ายนั้นก็คงมีแต่ตัวจำเลยกล่าวอ้างลอย ๆ ไม่น่าเชื่อถือ ส่วนที่จำเลยที่ 2 อ้างว่ามีรายได้เดือนละ 60,000 บาท ถึง 80,000 บาท ก็ไม่มีพยานหลักฐานมาสนับสนุนแต่อย่างใด จึงไม่น่าเชื่อ เมื่อพิเคราะห์ประกอบกับการที่จำเลยที่ 2 ยังเป็นหนี้โจทก์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 19961/2528 และคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 10403/2529 ของศาลแพ่งอีกรวมเป็นเงิน 600,000 บาทเศษ คดีถึงที่สุดแล้ว โดยจำเลยที่ 2ยังมิได้ชำระหนี้ดังกล่าว เมื่อรวมกับหนี้ในคดีนี้ จึงฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 มีหนี้สินล้นพ้นตัวแล้ว ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าศาลไม่ชอบที่จะรับฟังข้อเท็จจริงในเรื่องที่จำเลยที่ 2 เป็นหนี้โจทก์ร่วมเป็นเงิน 600,000 บาท ในคดีแพ่งทั้งสองจำนวนดังกล่าวข้างต้น โดยไม่ปรากฏคำพิพากษาในคดีดังกล่าวนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2ไม่ได้คัดค้านถึงความมีอยู่ และแท้จริงของคำพิพากษาในคดีดังกล่าวศาลจึงมีอำนาจใช้ดุลพินิจที่จะรับฟังผลของคำพิพากษาซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วดังกล่าวมาประกอบการวินิจฉัยคดีนี้ได้ไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายแต่อย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 เด็ดขาดนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share