แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลไม่จำต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของพยานเสมอไป แต่อาจรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของพยานประกอบการพิจารณาได้ ส่วนจะรับฟังได้เพียงใดหรือไม่สุดแล้วแต่เหตุผลของแต่ละเรื่องไป (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1711/2497)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกอีกคนหนึ่ง ได้ร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายเผิน พงษ์เถื่อน โดยเจตนาฆ่า นายเผินถึงแก่ความตายในวันเดียวกันนั้น ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 และริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 83 ให้จำคุกจำเลย 16 ปี ริบปลอกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงแห่งคดีนั้นศาลจะต้องใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงในสำนวนว่า ควรฟังได้เพียงไรหรือไม่ มิใช่ว่าเมื่อพยานเบิกความอย่างไรแล้ว ศาลจะต้องรับฟังข้อเท็จจริงตามคำเบิกความของพยานเสมอไปและไม่มีกฎหมายบทใดบัญญัติห้ามมิให้ศาลรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของพยานเป็นข้อประกอบการพิจารณาของศาล ส่วนจะรับฟังได้เพียงใดหรือไม่นั้น สุดแล้วแต่เหตุผลของแต่ละเรื่องไปตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 1711/2497 ซึ่งศาลอุทธรณ์อ้าง ที่จำเลยฎีกาว่านายต๋อยเป็นคนยิงผู้ตายทั้ง 2 นัดนั้น เป็นข้ออ้างขึ้นมาลอย ๆ ไม่มีพยานโจทก์ปากใดเบิกความถึง และจำเลยก็มิได้เบิกความเช่นนั้น หากเป็นเช่นที่จำเลยฎีกา ในรายงานชันสูตรพลิกศพผู้ตายท้ายฟ้องก็ไม่น่าจะระบุว่าจำเลยเป็นผู้ทำให้ผู้ตายตาย และในแผนที่เกิดเหตุที่โจทก์ส่งศาลก็ไม่น่าระบุว่าจำเลยเป็นผู้ต้องหาด้วย ทั้งไม่มีเหตุผลอันใดที่นายหมง นายเหอะ นายผวน และนางสิน พยานโจทก์จะให้การชั้นสอบสวนว่าจำเลยยิงผู้ตายด้วย ศาลฎีกาเชื่อว่าจำเลยได้ใช้ปืนเป็นอาวุธยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่าจริง
พิพากษายืน