คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3211/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้บัญชาการเรือนจำได้ตกลงซื้อขายสินค้าระหว่างกันเอง นอกจากนี้การสั่งซื้อสินค้าโจทก์เป็นการสั่งซื้อจำนวนมากแทบทุกวันเป็นเรื่องผิดปกติวิสัยที่หน่วยรายการใดจะปฏิบัติเช่นนี้ จำเลยที่ 1 เองก็ไม่ลงนามในหนังสือตั้งเจ้าหนี้แต่เริ่มแรกเมื่อโจทก์ส่งสินค้าให้ทาง เรือนจำ ทำให้โจทก์ไม่ได้รับชำระราคาสินค้าโจทก์น่าจะตระหนักดีว่า เมื่อไม่มีหนังสือตั้งเจ้าหนี้ของกรมราชทัณฑ์จำเลยที่ 5 โจทก์จะให้จำเลยที่ 5รับผิดชอบต่อโจทก์ไม่ได้ ตามวิสัยของพ่อค้าเมื่อมีพฤติการณ์เช่นนี้ย่อมไม่ส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าที่ไม่ชำระค่าสินค้าอีกต่อไป แต่โจทก์ยังคงส่งสินค้าให้ทาง เรือนจำอีกเป็นความประมาทอย่างร้ายแรงของโจทก์เอง ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพัสดุ พ.ศ. 2521ได้ประกาศในราชกิจานุเบกษา เพื่อให้ประชาชนทราบโดยทั่วกันว่าหากจะติดต่อหรือปฏิบัติเกี่ยวกับการพัสดุทางราชการเช่น การซื้อ การจ้าง การซ่อมแซมบำรุงรักษา ฯลฯ จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบดังกล่าว ซึ่งโจทก์จะปฏิเสธว่าไม่รับรู้เพราะเป็นระเบียบภายในหาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกิจการร้านไทยศิริ จำหน่ายอุปกรณ์การก่อสร้าง และอุปกรณ์เครื่องไฟฟ้า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3และที่ 4 เป็นข้าราชการในสังกัดของกรมราชทัณฑ์จำเลยที่ 5จำเลยที่ 1 ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการเรือนจำกลางอุบลราชธานีจำเลยที่ 1 เป็นหัวหน้าฝ่ายอบรมและฝึกวิชาชีพเรือนจำกลางอุบลราชธานี จำเลยที่ 3 เป็นเจ้าหน้าที่พัสดุเรือนจำกลางอุบลราชธานี จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าหน้าที่เงินทุนเรือนจำกลางอุบลราชธานี จำเลยที่ 5 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย จำเลยที่ 1ถึงที่ 4 ทั้งภายในขอบเขตอำนาจหน้าที่ราชการ และในฐานะส่วนตัวได้ร่วมกันซื้อสินค้าของโจทก์ และได้รับมอบสินค้าจากโจทก์ครบถ้วนแล้วกำหนดชำระค่าสินค้าดังกล่าวให้โจทก์ภายใน 1 เดือน นับแต่วันสั่งซื้อสินค้าแต่ละครั้ง สินค้าดังกล่าวทั้งหมดจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้นำไปใช้ประโยชน์ในกิจการส่วนราชการของเรือนจำกลางอุบลราชธานี อันเป็นส่วนราชการในสังกัดของจำเลยที่ 5 จึงเป็นการกระทำภายในขอบเขตอำนาจหน้าที่และในกิจการส่วนราชการของจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 5 จะต้องร่วมรับผิดด้วย เมื่อครบกำหนดชำระเงินค่าสินค้า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ไม่ชำระหนี้ดังกล่าว เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเท่ากับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,284,568.17 บาทขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชดใช้เงิน 1,284,568.17 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของและผู้จัดการร้านไทยศิริ ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้รับมอบหมายเป็นผู้แทนจำเลยที่ 5 ในการซื้อสินค้าโจทก์เพื่อนำมาใช้ในกิจการของจำเลยที่ 5 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะส่วนตัว จำเลยที่ 5 คงค้างชำระค่าสินค้าแก่โจทก์เพียง 64,266 บาท เท่านั้น แต่หนี้ที่ยังไม่ขาดอายุความมีเพียง47,675 บาท คดีโจทก์ขาดอายุความเรียกร้อง เพราะได้ส่งมอบสินค้าแก่จำเลยเกินกว่า 2 ปี นับแต่วันฟ้อง โจทก์มีสิทธิคิดค่าเสียหายในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 47,675 บาท ซึ่งเป็นหนี้ที่ยังไม่ขาดอายุความ โจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ก่อนฟ้องจึงมีสิทธิเรียกค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยนับจากวันฟ้องเท่านั้น
จำเลยที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ได้ร่วมกันซื้อสินค้าจากโจทก์ ในฐานะส่วนตัวเพื่อประโยชน์ของตนเอง โดยมิได้มีเจตนาประสงค์จะให้ผูกพันเรือนจำกลางอุบลราชธานี และจำเลยที่ 5 แต่อย่างใด โจทก์รู้ความจริงในเรื่องนี้แต่ยังยืนยันส่งสินค้าให้กับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ตลอดมา การกระทำของจำเลยที่ 1ถึงที่ 4 และโจทก์จึงเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ดังนั้นเรือนจำกลางอุบลราชธานีและจำเลยที่ 5 จึงไม่ต้องรับผิดในหนี้สินต่อโจทก์คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 1,284,568.17 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,105,751.50บาท นับแต่วันที่ 28 พฤษภาคม 2529 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์โดยให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ร่วมรับผิดชำระเงินแก่โจทก์จำนวน47,675 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่21 พฤษภาคม 2529 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 5 ร่วมรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน 37,576 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 นอกจากที่แก้คงให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 5 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 5 ฎีกาในข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์และจำเลยที่ 5ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ซื้อสินค้าตามฟ้องมาใช้ในกิจการของจำเลยที่ 5 ผูกพันจำเลยที่ 5 หรือไม่ เห็นว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ตกลงซื้อขายสินค้าระหว่างกันเองนอกจากนี้การสั่งซื้อสินค้าโดยเป็นการสั่งซื้อจำนวนมากแทบทุกวัน เป็นเรื่องผิดปกติวิสัยที่หน่วยราชการใดจะปฏิบัติเช่นนี้ จำเลยที่ 1 เองก็ไม่ลงนามในหนังสือตั้งเจ้าหนี้แต่เริ่มแรกเมื่อโจทก์ส่งสินค้าให้ทาง เรือนจำ ทำให้โจทก์ไม่ได้รับชำระราคาสินค้า โจทก์น่าจะตระหนักดีว่า เมื่อไม่มีหนังสือแต่งตั้งเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 5 โจทก์จะให้จำเลยที่ 5 รับผิดชอบต่อโจทก์ไม่ได้ ตามวิสัยของพ่อค้า เมื่อมีพฤติการณ์เช่นนี้ย่อมไม่ส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าที่ไม่ชำระค่าสินค้าอีกต่อไป แต่โจทก์ยังคงส่งสินค้าให้ทางเรือนจำอีกเป็นความประมาทอันร้ายแรงของโจทก์เอง และที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ไม่ทราบระเบียบต่าง ๆ ของจำเลยที่ 5เพราะเป็นระเบียบภายในนี้ เห็นว่าระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพัสดุ พ.ศ. 2521 ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้ประชาชนทราบโดยทั่วกันว่าหากจะติดต่อหรือปฏิบัติเกี่ยวกับการพัสดุทางราชการ เช่น การซื้อ การจ้าง การซ่อมแซมบำรุงรักษาฯลฯ จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบดังกล่าว ซึ่งโจทก์จะปฏิเสธว่าไม่รับรู้เพราะเป็นระเบียบภายในหาได้ไม่ การสั่งซื้อสินค้าของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 5
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 5 ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share