คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 655/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อข้อเท็จจริงในเรื่องที่โจทก์ทั้งสองได้ขายที่ดินพิพาทคืนนาง ร. เจ้าของเดิมตามคำพิพากษาตามยอมลงวันที่ 27 ธันวาคม 2531เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่ 19สิงหาคม 2531 และไม่เกี่ยวข้องกับการที่โจทก์ ทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทมาจากนาง ร. เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2530 อันเป็นมูลกรณีพิพาทตามฟ้อง ดังนั้น ข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องที่โจทก์ทั้งสองได้ขายที่ดินพิพาทคืน นาง ร.จึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไปถึงและโจทก์ทั้งสองฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ไม่วินิจฉัยให้ โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่ามติของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้ และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดปทุมธานีใช้บังคับแก่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ ดังนั้นปัญหาที่ว่ามติดังกล่าวมิได้ระบุจำนวนเนื้อที่ดินพิพาทไว้ หรือคำวินิจฉัยข้างต้นวินิจฉัยเพียงว่าให้ผู้เช่าทั้งห้าซื้อที่นาพิพาทจำนวนประมาณ 112 ไร่คืน จึงมิใช่สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เมื่อฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยต่างยอมรับข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทอยู่ในตำบลหน้าไม้ และคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้มีอำนาจพิจารณาคำร้องขอของโจทก์ที่ 22-26 ได้ แม้โฉนดที่ดินพิพาทจะระบุว่าอยู่ที่ตำบลระแหงแต่โฉนดดังกล่าวก็ออกตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2467 แต่ขณะที่จำเลยที่ 22-26 ร้องต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้ ที่ดินพิพาทคงอยู่ในตำบลหน้าไม้ การที่โจทก์ทั้งสองฎีกาว่าคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้ไม่มีอำนาจพิจารณากรณีที่พิพาทของที่ดินดังกล่าวได้ จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1179 จังหวัดปทุมธานี เนื้อที่ 112 ไร่เศษ โดยเดิมที่ดินดังกล่าวเป็นของนายโสภณขายฝากไว้กับนางระเบียบ ต่อมานายโสภณตกลงเข้าหุ้นกับโจทก์ทั้งสองไถ่ถอนที่ดินแปลงดังกล่าวซึ่งขณะนั้นมีจำเลยที่ 22 ถึงที่ 26 เป็นผู้เช่าทำนาอยู่ ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ 2531 จำเลยที่ 22 ถึงที่ 26 ได้ร้องขอต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ค.ก.ก.) ประจำตำบลหน้าไม้ว่า นางระเบียบขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่โจทก์ทั้งสองโดยไม่แจ้งให้จำเลยที่ 22 ถึงที่ 26 ทราบก่อนและจำเลยที่ 22 ถึงที่ 26ประสงค์จะซื้อด้วย ต่อมาวันที่ 23 มีนาคม 2531 จำเลยที่ 12ถึงที่ 21 ซึ่งเป็น ค.ช.ก.ประจำตำบลหน้าไม้ ได้ประชุมแล้วมีมติให้โจทก์ทั้งสองขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่ผู้เช่านาตามราคาในหนังสือสัญญาขายที่ดินของสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีในราคา 563,750 บาท และให้ผู้เช่าที่ดินดังกล่าวมีสิทธิทำนาได้ต่อไปอีกจนกว่าการวินิจฉัยจะถึงที่สุด โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์มติดังกล่าวต่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 11 ซึ่งเป็น ค.ช.ก.ประจำจังหวัดปทุมธานีได้มีคำวินิจฉัยให้ผู้เช่านาซื้อที่ดินพิพาทคืนตามราคาในวันที่มีการทำหนังสือสัญญาขายที่ดิน เป็นราคาตลาด โจทก์ทั้งสองได้รับแจ้งคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2531 โจทก์ทั้งสองเห็นว่า มติและคำวินิจฉัยดังกล่าวไม่ชอบ เนื่องจากเป็นการซื้อขายที่ดินระหว่างเจ้าของที่ดินเดิมกับนางระเบียบ และราคาตลาดในขณะนั้นมีราคาไร่ละ 20,000 บาท แต่คำวินิจฉัยกำหนดราคาตลาดไร่ละประมาณ 10,000 บาท เท่านั้น นอกจากนี้จำเลยที่ 12 ซึ่งเป็นประธาน ค.ช.ก.ประจำตำบลหน้าไม้ได้เคยติดต่อขอซื้อที่ดินแปลงดังกล่าวจากนางระเบียบ จึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียต้องห้ามมิให้เข้าร่วมประชุมและใช้สิทธิในการพิจารณาและลงมติในกรณีพิพาทรายนี้จำเลยที่ 22 ถึงที่ 26 เช่าทำนา 105 ไร่ ส่วนอีก 7 ไร่เศษไม่มีการเช่า มติและคำวินิจฉัยจึงไม่มีผลบังคับกับที่นาอีก 7 ไร่เศษจำเลยที่ 22 ถึงที่ 26 ผู้เช่านา จึงไม่มีสิทธิซื้อนาคืนจากโจทก์ทั้งสองได้ ขอให้พิพากษาว่ามติและคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 21ไม่ชอบและขัดต่อพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 53, 54 มติและรายงานการประชุมของจำเลยที่ 12 ถึงที่ 21ครั้งที่ 1/2531 ลงวันที่ 23 มีนาคม 2531 ไม่ชอบและขัดต่อพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา18 วรรคสาม, 53, 54 และมติและคำวินิจฉัยของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 21ใช้บังคับแก่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ กับห้ามมิให้จำเลยที่ 22 ถึงที่ 26และบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ที่ 8 ที่ 11 ที่ 13 ถึงที่ 21 ให้การว่าเมื่อปี 2518 นายโสภณขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่นางระเบียบมีกำหนด 1 ปี เมื่อครบกำหนดแล้วมิได้ไถ่คืน ที่ดินพิพาทจึงตกเป็นสิทธิแก่นางระเบียบ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2530 นางระเบียบขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองในราคา 563,750 บาท นางระเบียบมิได้แจ้งบอกเลิกการเช่าที่ดินต่อจำเลยที่ 22 ถึงที่ 26 ซึ่งเป็นผู้เช่าและมิได้แจ้งให้ผู้เช่าที่ดินมีโอกาสซื้อก่อน จำเลยที่ 1ถึงที่ 11 จึงมีมติให้ผู้เช่าที่ดินซื้อที่ดินพิพาทคืนจากผู้รับโอนโดยถือเอาราคาที่ซื้อขายกันคือ 563,750 บาท การที่จำเลยที่ 1ถึงที่ 11 มีมติว่า จำเลยที่ 22 ถึงที่ 26 เป็นผู้เช่ามีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทคืนแล้ว ผู้เช่าก็ย่อมมีสิทธิในการเช่าที่ดินทำนาอยู่ในตัว จึงไม่จำเป็นต้องมีมติว่าให้ผู้เช่ามีสิทธิทำนาต่อไปอีกโจทก์ทั้งสองได้รับหนังสือแจ้งคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดปทุมธานี ลงวันที่ 13 กรกฎาคม 2531แล้วมาฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2531 เป็นการใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาลเกินกว่า 30 วัน ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 12 ให้การว่า จำเลยที่ 12 ไม่เคยขอซื้อที่ดินพิพาทจากนางระเบียบ และนางระเบียบไม่มีข้อตกลงใด ๆ ที่จะให้นายโสภณซื้อที่ดินพิพาทคืนจำเลยที่ 12 ในฐานะประธานคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายด้วยความสุจริต ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 22 ถึงที่ 26 ให้การว่าจำเลยที่ 22 ถึงที่ 26เช่าที่ดินพิพาททำนามาตั้งแต่ที่ดินพิพาทเป็นของนายโสภณมาจนเป็นของนางระเบียบ นางระเบียบขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองโดยไม่ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ 22 ถึงที่ 26 ทราบก่อนและไม่เคยมีผู้ใดบอกเลิกการเช่าที่ดินพิพาท มติของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายฟ้องโจทก์ทั้งสองไม่สุจริต และโจทก์ทั้งสองฟ้องคดีนี้ขอเพิกถอนมติของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดปทุมธานี ซึ่งจำเลยที่ 22 ถึงที่ 26 ไม่ได้มีส่วนในการลงมติหรือวินิจฉัยด้วยแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 22ถึงที่ 26 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 7 ที่ 9 และที่ 10 ขาดนัดยื่นคำให้การ ส่วนจำเลยที่ 12 ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ทั้งสองฎีกาเป็นข้อแรกว่า ข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ว่า การที่โจทก์ทั้งสองได้ขายที่ดินพิพาทคืนแก่นางระเบียบโดยไม่แจ้งแก่จำเลยที่ 22 ถึงที่ 26 ผู้เช่าทราบก่อน จำเลยที่ 22 ถึงที่ 26ย่อมมีสิทธิซื้อที่ดินพิพาทคืนจากผู้รับโอนไม่ว่าจะเป็นนายโสภณนางระเบียบหรือโจทก์ทั้งสองนั้น โจทก์ทั้งสองไม่เห็นด้วยการที่โจทก์ทั้งสองต้องขายที่ดินพิพาทคืนแก่นางระเบียบเจ้าของเดิมเพราะนางระเบียบได้ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายระหว่างโจทก์ทั้งสองกับนางระเบียบตามสัญญาซื้อขายลงวันที่ 17 เมษายน2530 และศาลได้พิพากษาตามยอมให้โจทก์ทั้งสองขายคืนให้ เป็นการปฏิบัติตามคำพิพากษามิใช่โจทก์ทั้งสองโอนให้แก่บุคคลภายนอกมติหรือคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้และคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดปทุมธานี จึงไม่อาจบังคับไปถึงเจ้าของเดิมนั้น เห็นว่าข้อเท็จจริงในเรื่องที่โจทก์ทั้งสองได้ขายที่ดินพิพาทคืนนางระเบียบเจ้าของเดิมตามคำพิพากษาตามยอม ลงวันที่ 27 ธันวาคม2531 เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้ในวันที่19 สิงหาคม 2531 และไม่เกี่ยวข้องกับการที่โจทก์ทั้งสองซื้อที่ดินพิพาทมาจากนางระเบียบ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2530 อันเป็นมูลกรณีพิพาทตามฟ้อง ข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ส่วนที่เกี่ยวกับเรื่องที่โจทก์ทั้งสองได้ขายที่ดินพิพาทคืนนางระเบียบจึงเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น แม้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไปถึงและโจทก์ทั้งสองฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็ไม่วินิจฉัยให้
ส่วนที่โจทก์ทั้งสองฎีกาข้อต่อมาว่า มติของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้ก็ดี คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดปทุมธานีก็ดีย่อมไม่มีผลผูกพันใด ๆ กับที่ดินในโฉนดเลขที่ 1179 จำนวน 7 ไร่เศษซึ่งจำเลยที่ 22 ถึงที่ 26 ไม่เคยเช่าที่ดินดังกล่าวเลยนั้น เห็นว่าปัญหาว่าที่ดินพิพาทจำเลยที่ 22 ถึงที่ 26 เช่าอยู่ในเนื้อที่เท่าใดนั้น มติของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้มิได้ระบุจำนวนเนื้อที่ของที่ดินพิพาทไว้ ส่วนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดปทุมธานีก็วินิจฉัยเพียงว่าให้ผู้เช่าทั้งห้าซื้อที่นาพิพาทจำนวนประมาณ 112 ไร่คืน ซึ่งสาระสำคัญของมติและคำวินิจฉัยดังกล่าวเป็นเรื่องให้ผู้เช่าทั้งห้าซื้อที่ดินที่เช่าคืน โจทก์ฟ้องคดีนี้ขอให้พิพากษาว่ามติและคำวินิจฉัยใช้บังคับแก่โจทก์ทั้งสองไม่ได้ ดังนั้น ปัญหาว่าที่ดินพิพาทจำเลยที่ 22 ถึงที่ 26 เช่าอยู่ในเนื้อที่เท่าใดจึงมิใช่สาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
โจทก์ทั้งสองฎีกาเป็นข้อสุดท้ายว่า คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้ อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี ไม่มีอำนาจพิจารณากรณีพิพาทของที่ดินพิพาทซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานี เพราะตำบลหน้าไม้กับตำบลระแหงเป็นคนละตำบล และกรณีพิพาทเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าวย่อมต้องได้รับการพิจารณาจากคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลระแหง อำเภอลาดหลุมแก้ว จังหวัดปทุมธานีมติของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย คำวินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำจังหวัดปทุมธานีจึงย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นกันปัญหาข้อกฎหมายนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย โจทก์ทั้งสองมีสิทธิยกขึ้นในชั้นฎีกาได้นั้น เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่โจทก์ทั้งสองและจำเลยที่ 1 ถึงที่ 6 ที่ 8 ที่ 11 ถึงที่ 26นำสืบได้ความว่าทุกฝ่ายต่างยอมรับข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทอยู่ในตำบลหน้าไม้และคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้มีอำนาจพิจารณาคำร้องขอของโจทก์ที่ 22ถึงที่ 26 ได้ แม้โฉนดที่ดินพิพาทจะระบุว่าอยู่ที่ตำบลระแหงแต่โฉนดดังกล่าวก็ออกมาตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน 2467 ในขณะที่จำเลยที่ 22 ถึงที่ 26 ร้องต่อคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลหน้าไม้เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2531 ที่ดินพิพาทคงอยู่ในตำบลหน้าไม้ ดังเช่นที่ปรากฏในโฉนดที่ดินเลขที่ 9184ของโจทก์ที่ 1 ซึ่งที่ดินอยู่ติดกับโฉนดที่ดินพิพาทและออก ณวันที่ 23 ธันวาคม 2530 ได้ระบุไว้ว่าอยู่ที่ “ตำบลหน้าไม้(ระแหง)” ดังนั้น ที่โจทก์ฎีกาว่าที่ดินพิพาทตั้งอยู่ที่ตำบลระแหงและอยู่ในอำนาจพิจารณาของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจำตำบลระแหง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share