คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3211/2526

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

พวกจำเลยทำร้ายคนที่นั่งอยู่กับผู้เสียหาย จำเลยวิ่งเข้ามากระชากสร้อยคอจากคอผู้เสียหายขาดหล่นลงที่พื้น จำเลยก้มลงจะหยิบเอา แต่ผู้เสียหายหยิบเอาไว้ได้ก่อนการที่สร้อยขาด แม้จะเป็นผลให้ สร้อยติดมือจำเลยชั่วระยะหนึ่ง แต่เป็นการกระทำที่มุ่งหมายให้สร้อยขาดหลุดเท่านั้น จะถือว่าจำเลยยึดถือสร้อยไว้แล้วหาได้ไม่ การยึดถือสร้อยยังไม่บรรลุผลจึงเป็นความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ ไม่ใช่ความผิดสำเร็จ ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339, 80

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิาพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 339 จำคุก 10 ปี สนับมือของกลางให้ริบ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่ามีความผิดตาม มาตรา 83, 339 ประกอบด้วย มาตรา 80 จำคุก 6 ปี 8 เดือน โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า “โจทก์ฎีกาว่าเมื่อจำเลยกระชากสร้อยคอของผู้เสียหายขาด สร้อยคอย่อมติดมือจำเลยชั่วระยะหนึ่ง ถือว่าจำเลยยึดถือครอบครองทรัพย์ของผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานชิงทรัพย์สำเร็จ

มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์หรือความผิดสำเร็จ

ข้อเท็จจรองฟังยุติว่า จำเลยกับพวกอีก 1 คนได้ร่วมกันชิงทรัพย์ผู้เสียหายโดยพวกของจำเลยได้เข้าทำร้ายนายนิสิตซึ่งนั่งอยู่กับผู้เสียหายและจำเลยวิ่งเข้ามากระชากสร้อยคอจากผู้เสียหายขาดหล่นลงที่พื้น จำเลยก้มลงจะหยิบเอาแต่ผู้เสียหายแย่งหยิบเอาไว้ก่อน เห็นว่าการที่จำเลยกระชากสร้อยคอจากคอผู้เสียหายขาด แม้จะเป็นผลให้สร้อยคอติดมือจำเลยชั่วระยะหนึ่ง แต่ก็เป็นการกระทำที่มุ่งหมายให้สร้อยคอขาดหลุดเท่านั้น จะถือว่าจำเลยยึดถือสร้อยคอของผู้เสียหายไว้แล้วหาได้ไม่ การยึดถือเอาสร้อยคอยังไม่บรรลุผล จึงเป็นความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ ไม่ใช่ความผิดสำเร็จ ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษความผิดฐานพยายามชิงทรัพย์ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share