คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3745/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อสัญญาเช่าซื้อรถยนต์เลิกกันแล้ว ผู้ให้เช่าซื้อจะเรียกให้ผู้เช่าซื้อชำระค่าเช่าซื้อที่ยังค้างอยู่อีกไม่ได้ คงเรียกได้เฉพาะค่าเสียหายอันเนื่องจากการผิดสัญญาได้แก่ค่าขาดประโยชน์เพราะผู้เช่าซื้อยังใช้รถยนต์ตลอดระยะเวลาที่ครอบครองรถยนต์อยู่ในกรณีที่ได้รถยนต์คืนมาแล้วผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิได้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่นอกเหนือไปจากความเสียหายอันเกิดแต่การใช้รถยนต์โดยชอบ แต่จะเรียกร้องให้ชดใช้ราคารถยนต์มิได้
การที่ผู้ให้เช่าซื้อฟ้องเรียกให้ผู้เช่าซื้อใช้ราคารถส่วนที่ขาดอยู่ถือไม่ได้ว่าเป็นการเรียกค่าเสียหายในการใช้รถตลอดเวลาที่ผู้เช่าซื้อยังคงครอบครองอยู่
การเรียกค่าเสียหายจากการใช้รถบุบสลายมีอายุความ 6 เดือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 563
จำเลยที่ 2 ถูกฟ้องให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245(1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์ ๑ คันไปจากโจทก์ โดยจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยที่ ๑ ชำระค่าเช่าซื้อเพียง ๒ งวดแล้วผิดนัดไม่ชำระอีก เป็นการผิดสัญญา สัญญาเช่าซื้อสิ้นสุด โจทก์ติดตามยึดรถคืนมาได้แต่รถชำรุดโจทก์ขายไปเพียง ๔๐,๐๐๐ บาท โจทก์ได้รับความเสียหายคือค่าราคารถที่ขาด๑๔๐,๐๐๐ บาท ค่าเช่าหรือค่าเสียหายถึงวันยึดรถ ๕๒,๕๐๐ บาท ค่าติดตามยึดรถ๗,๖๓๕ บาท ค่าปรับที่ผิดนัด ๒,๖๓๒ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒๐๒,๗๖๗ บาท แต่จำเลยที่ ๑ ชำระให้เพียง ๑๐,๐๐๐ บาท ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑๙๒,๗๖๗ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การต่อสู้หลายประการรวมทั้งข้อที่ว่า โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเกี่ยวกับราคารถที่ขาด เพราะโจทก์ได้รถคืนไปในสภาพดีและหนี้ส่วนนี้ขาดอายุความ สำหรับค่าเสียหายในยอดเงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ ๕๒,๕๐๐ บาท โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเพราะสัญญาเช่าซื้อเลิกต่อกันแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรับผิดชดใช้เงินแก่โจทก์จำนวน๑๒๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ค่าเสียหายเกี่ยวกับราคารถที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยชดใช้ ๑๒๕,๐๐๐ บาท ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๖๓ พิพากษาแก้ให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน ๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อฎีกาของโจทก์เกี่ยวกับราคารถส่วนที่ขาด ๑๔๐,๐๐๐ บาท นั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๕๗๔ บัญญัติไว้โดยชัดแจ้งว่าเมื่อเลิกสัญญาเช่าซื้อแล้ว เจ้าของทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อมีสิทธิริบเงินที่ผู้เช่าซื้อส่งใช้มาแล้วและกลับเข้าครอบครองทรัพย์สินที่ให้เช่าซื้อเท่านั้น หาได้บัญญัติให้เรียกเอาค่าเช่าซื้อที่ค้างได้อีกไม่ ฉะนั้น โจทก์จะเรียกให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเช่าซื้อที่ยังค้างอยู่อีกไม่ได้ เพราะสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้ว คู่สัญญาไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาอีกต่อไป โจทก์คงเรียกได้แต่เฉพาะค่าเสียหายอันเนื่องจากจำเลยที่ ๑ ผิดสัญญาเช่าซื้อเท่านั้น ซึ่งได้แก่ค่าขาดประโยชน์เพราะจำเลยที่ ๑ ยังใช้รถยนต์ของโจทก์อยู่ตลอดระยะเวลาที่จำเลยที่ ๑ ยังครอบครองรถยนต์อยู่ และเมื่อได้รับรถยนต์คืนมาแล้ว แต่ปรากฏว่ารถยนต์เสียหายเพราะเหตุอื่นอันต้องรับผิดนอกเหนือไปจากความเสียหายอันเกิดแต่การใช้รถโดยชอบ โจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อเหตุนี้ด้วย แต่การที่โจทก์ฟ้องเรียกราคารถส่วนที่ขาดอยู่นี้ ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เรียกค่าเสียหายในฐานที่จำเลยที่ ๑ ใช้รถยนต์ของโจทก์ตลอดเวลาที่ยังครอบครองรถของโจทก์ เพราะค่าเสียหายส่วนนี้โจทก์ได้ขอมาเป็นอีกรายการหนึ่งจำนวนเงิน ๕๒,๕๐๐ บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชดใช้ให้ ๑๐,๐๐๐ บาทโจทก์มิได้อุทธรณ์คัดค้าน ถือได้ว่าโจทก์พอใจแล้ว และหากจะถือว่าการเรียกราคารถส่วนที่ขาดอยู่เป็นค่าเสียหายจากการที่จำเลยที่ ๑ ใช้รถของโจทก์ชำรุดบุบสลาย ค่าเสียหายส่วนนี้ก็มีอายุความ ๖ เดือน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๕๖๓ คดีโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว เมื่อโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเช่าซื้อที่ยังขาดอยู่ ๑๔๐,๐๐๐ บาท ปัญหาเรื่องฟ้องโจทก์ส่วนนี้ขาดอายุความหรือไม่ จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
สำหรับฎีกาโจทก์ที่ว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๒ เป็นการเกินคำขอไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ นั้น เห็นว่า จำเลยที่ ๒ ถูกฟ้องให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ในฐานะผู้คำประกัน ซึ่งเป็นการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ ๒ ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๕(๑)
พิพากษายืน

Share