คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เงินที่ได้จากการขายข้าวซึ่งโจทก์ร่วมและบิดาทำร่วมกัน เมื่อได้ความว่ายังไม่ได้แบ่งเงินรายนี้ระหว่างคนทั้งสอง จึงต้องถือว่าทั้งบิดาและโจทก์ร่วมเป็นเจ้าของเงินรายนี้ร่วมกันอยู่ ดังนี้ จึงต้องถือว่าโจทก์ร่วมเป็นผู้เสียหาย ย่อมมีสิทธิที่จะร้องทุกข์ได้ตามกฎหมาย
คดีนี้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยได้เรียกเอาเงินและทองมาใส่ถุงย่ามเพื่อเป็นสิริมงคลในการที่จำเลยจะทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ของโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมจึงได้ห่อธนบัตรจำนวนเงิน 2,006 บาท กับเอาสร้อยคอทองคำหนักหนึ่งบาทหนึ่งเส้นบรรจุใส่ในกล่องพลาสติกส่งให้จำเลย จำเลยเอาห่อเงินและกล่องบรรจุสายสร้อยดังกล่าวใส่ลงไปในถุงย่ามแล้วลงเรือนไป มีนายประสิทธิและโจทก์ร่วมเดินตามหลัง ระหว่างเดินกันไปทางบ้านใหม่ของโจทก์ร่วมเพื่อจะทำพิธี จำเลยล้วงเอาห่อธนบัตรนั้นไปเสีย จึงเห็นได้ว่าเป็นการลักทรัพย์ เพราะโจทก์ร่วมเจ้าของทรัพย์ยังมิได้สละการครอบครองให้จำเลย เขาเพียงแต่ให้จำเลยยึดถือไว้เป็นการชั่วคราว ดังนี้ การที่จำเลยเอาห่อธนบัตรนั้นไป ย่อมมีความผิดฐานลักทรัพย์

ย่อยาว

คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๐๘ เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยบังอาจลักธนบัตร รวม ๒,๐๐๖ บาทนางกัลญา ส้อยบาง ไปโดยทุจริต ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๓๕ กับขอให้ใช้ราคาทรัพย์
นายโฮก พัวพันธ์ จำเลยให้การปฏิเสธ
นางกัลญา ส้อยบาง ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยเป็นผู้ลักเอาเงินนั้นไปจริง พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ ลงโทษจำคุกจำเลย ๖ เดือนและให้จำเลยใช้เงิน ๒,๐๐๖ บาทแก่เจ้าทรัพย์
จำเลยอุทธรณ์ว่า เงิน ๒,๐๐๖ บาทเป็นของนายเอกบิดานางกัลญา ตามค่าเบิกความนางกัลญา ฉะนั้น นางกัลญาจึงไม่ใช่เจ้าทุกข์ พยานโจทก์เบิกความแตกต่างกันขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เงินรายนี้เป็นเงินขายข้าวที่นายเอกและนางกัลญาทำร่วมกัน ยังไม่ได้แบ่งกัน นางกัลญาในฐานะเจ้าของร่วมคนหนึ่งจึงมีสิทธิที่จะเป็นผู้เสียหายร้องทุกข์เพื่อดำเนินคดีติดตามเอาคืนมาได้ และศาลอุทธรณ์เชื่อเป็นความจริงว่าจำเลยเป็นผู้ลักเงินรายนี้จริง พิพากษายืน
จำเลยฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า นางกัลญาไม่ใช่ผู้เสียหาย และคดีเป็นเรื่องยักยอก ไม่ใช่ลักทรัพย์ ข้อเท็จจริงที่ศาลรับฟังแตกต่างกับฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้เงินจำนวน ๒,๐๐๖ บาทนี้จะเป็นเงินได้มาจากการขายข้าวที่นายเอกกับนางกัลญาทำร่วมกัน แต่ก็ได้ความว่ายังไม่ได้แบ่งเงินรายนี้ร่วมกัน นางกัลญาจึงเป็นผู้เสียหาย มีสิทธิร้องทุกข์ได้ตามกฎหมาย ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่าข้อเท็จจริงต่างกับฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงที่ฟังยุติแล้วนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยเรียกเอาเงินและทองมาใส่ถุงย่าม เพื่อเป็นสิริมงคลในการทำพิธีขึ้นบ้านใหม่ของนางกัลญา นางกัลญาจึงได้ห่อธนบัตรจำนวนเงิน ๒,๐๐๖ บาท และเอาสร้อยคอทองคำหนักหนึ่งบาทหนึ่งเส้นบรรจุใส่ในกล่องพลาสติกส่งให้จำเลย จำเลยเอาห่อเงินและกล่องบรรจุสายสร้อยดังกล่าวใส่ลงในถุงย่ามแล้วลงเรือนไป มีนายประสิทธิและนางกัลญาเดินตามหลัง ระหว่างเดินกันไปทางบ้านใหม่ของนางกัลญาเพื่อจะทำพิธีจำเลยล้วงเอาห่อธนบัตรไปเสีย เห็นได้ว่าเป็นการลักทรัพย์เพราะนางกัลญาเจ้าของทรัพย์มิได้สละการครอบครองให้จำเลย เขาเพียงแต่ให้จำเลยยึดถือไว้เป็นการชั่วคราว ดังนั้น การที่จำเลยเอาห่อธนบัตรนั้นไป จึงเป็นการลักทรัพย์หาใช่ยักยอกดังจำเลยกล่าวอ้างไม่ พิพากษายืน.

Share