แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษาในคดีแพ่งโดยผู้ร้องมีสิทธิได้รับค่าเสียหายเดือนละ 50,000 บาท นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2528 จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากที่พิพาท มูลหนี้ดังกล่าวสามารถแบ่งแยกกันได้ว่าค่าเสียหายเดือนใดเกิดขึ้นก่อนหรือหลังวันที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราว ค่าเสียหายเดือนใดที่ผู้ร้องมีสิทธิได้รับก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวย่อมมีสิทธินำมาหักกลบลบหนี้ได้ ส่วนมูลหนี้ค่าเสียหายนับแต่วันที่ 16 เมษายน 2529 ซึ่งเป็นวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวเป็นต้นไปไม่อาจนำมาหักกลบลบหนี้ที่ผู้ร้องต้องชำระให้แก่จำเลยได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 102
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งหกล้มละลาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งหกเด็ดขาด ในการจัดกิจการและทรัพย์สินของจำเลยทั้งหกผู้คัดค้านเห็นว่าผู้ร้องได้บอกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 43399 และ 43400ซึ่งทำไว้กับจำเลยที่ 2 ทำให้จำเลยที่ 2 มีสิทธิได้รับเงินมัดจำคืนบางส่วน เป็นเงิน4,400,000 บาท ผู้คัดค้านจึงได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ร้องชำระเงินจำนวนดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ยที่ค้างชำระอยู่กับจำเลยที่ 2 ผู้ร้องปฏิเสธหนี้และแสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ผู้คัดค้านสอบสวนแล้ว อนุญาตให้ผู้ร้องหักกลบลบหนี้กับเงินจำนวน 4,400,000 บาทของจำเลยที่ 2 ที่ยังคงอยู่กับผู้ร้องได้เป็นจำนวน 475,000 บาท ผู้ร้องยังคงเป็นหนี้จำเลยที่ 2 อยู่อีกเป็นจำนวน 3,925,000 บาท จึงได้มีหนังสือแจ้งยืนยันหนี้ให้ผู้ร้องชำระเงินจำนวน 3,925,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29พฤษภาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งของผู้คัดค้านต่อศาลชั้นต้นว่าเมื่อวันที่ 15 มกราคม2528 จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินจากผู้ร้องรวม 2 แปลง คือที่ดินโฉนดเลขที่ 43399 และ 43400 เป็นเงิน 38,000,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 ชำระเงินค่าซื้อที่ดินให้ผู้ร้องบางส่วนจำนวน 11,400,000 บาท ต่อมาวันที่ 28 มกราคม 2528 มีการแก้ไขสัญญาว่า จำเลยที่ 2 จะชำระราคาที่ดินส่วนที่เหลือ 26,600,000 บาท ให้ผู้ร้องภายในวันที่ 30 พฤษภาคม 2528 โดยผู้ร้องยอมให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เข้าปลูกสร้างอาคารในที่ดินที่จะซื้อขายได้ หากจำเลยที่ 3 ผิดนัดไม่ชำระเงิน 26,600,000 บาท ภายในกำหนดให้ถือว่าสัญญาเลิกกัน จำเลยที่ 2 ยอมให้ผู้ร้องริบเงินที่ชำระแล้ว 7,000,000 บาทกับยอมให้สิ่งปลูกสร้างตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยอมออกจากที่ดินโดยจำเลยที่ 2 ยอมรับเงินคืนเพียง 4,400,000 บาท ต่อมาจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้สร้างอาคารเลขที่ 1857 ในที่ดินที่จะซื้อขาย แต่ครั้นถึงกำหนดที่จำเลยที่ 2 จะต้องชำระค่าที่ดินส่วนที่เหลือ จำเลยที่ 2 ไม่ชำระเป็นการผิดสัญญาจะซื้อขายจึงเลิกกัน จำเลยที่ 2 และที่ 3ต้องออกจากที่ดินโดยส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ให้ผู้ร้อง แต่จำเลยที่ 2 และที่ 3เพิกเฉย ทำให้ผู้ร้องเสียหาย ผู้ร้องจึงฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 1กรกฎาคม 2528 ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าวจำเลยที่ 2 และที่ 3 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวในคดีนี้เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2529 ผู้คัดค้านเข้าว่าคดีแทน ต่อมาวันที่ 30 เมษายน2529 ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 กับบริวารออกจากอาคารเลขที่ 1857 และที่ดินโฉนดเลขที่ 43399 และ 43400 และให้ใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ร้องเดือนละ50,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกจากอาคารและที่ดิน กับให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ร้อง ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7374/2529 คดีดังกล่าวถึงที่สุด ผู้ร้องได้รับมอบการครอบครองที่ดินและอาคารเมื่อวันที่ 4 กันยายน 2530 แต่ผู้ร้องยังไม่ได้รับชำระหนี้ค่าเสียหายตามคำพิพากษา ซึ่งคำนวณค่าเสียหายถึงวันที่ผู้ร้องได้รับมอบการครอบครองที่ดินและอาคารเป็นเงิน 1,275,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 กันยายน 2530 ถึงวันที่ 6 กันยายน 2533 และค่าฤชาธรรมเนียมอีกจำนวน 55,795บาท ก่อนที่ผู้ร้องจะได้รับมอบที่ดินและอาคารดังกล่าว จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 จำเลยที่ 5 และนางจรีย์ จรูญมานะกิจ ได้ครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินและอาคารซึ่งเป็นสถานประกอบกิจการภัตตาคาร บาร์ และสถานเต้นรำดิสโกเธค ต่อมาบุคคลดังกล่าวถูกจำเลยที่ 4 ฟ้องต่อศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 10745/2529 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยให้จำเลยที่ 4 หรือตัวแทนเข้าครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินและอาคาร โดยต้องชำระเงินค่าตอบแทนเดือนละ 400,000 บาท จำเลยที่ 4 เข้าครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินและอาคารเป็นเวลา 3 เดือนเศษเป็นเงิน 1,200,000 บาท ต่อมาวันที่ 2 เมษายน 2529 ศาลชั้นต้นได้เปลี่ยนแปลงคำสั่งโดยอนุญาตให้บริษัททอปเปอร์คลับบางกอก จำกัด และบริษัทอาร์. พี.เจ. จำกัด เข้าครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินและอาคารดังกล่าว โดยให้เสียค่าตอบแทนด้วยการนำเงินมาวางต่อศาลเดือนละ 200,000 บาทบริษัททั้งสองดังกล่าวครอบครองใช้ประโยชน์อยู่ 3 เดือน แต่ชำระค่าตอบแทนโดยการนำเงินไปวางต่อศาลเพียงเดือนเดียวจำนวน 200,000 บาท ส่วนค่าตอบแทนอีก 2 เดือนรวม 400,000 บาท ยังไม่ชำระ เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวผู้คัดค้านได้ร้องต่อศาลชั้นต้นขอนำเงินจำนวน 200,000 บาท ที่วางศาลรวมเข้ากองทรัพย์สินของจำเลยทั้งห้าและผู้คัดค้านมีสิทธิเรียกให้บริษัททั้งสองชำระค่าตอบแทนอีก2 เดือน เป็นเงิน 400,000 บาท ผู้ร้องเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินและอาคาร ผู้ร้องจึงมีสิทธิที่จะได้รับค่าตอบแทนจากการใช้ประโยชน์ในที่ดินและอาคารดังกล่าว คิดเป็นเงินจำนวน600,000 บาท จากผู้คัดค้านและเมื่อรวมกับค่าตอบแทนที่จำเลยที่ 4 จะต้องชดใช้ให้ผู้ร้องดังกล่าวอีก 1,200,000 บาท เป็นเงินรวมกันทั้งสิ้น 1,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2533 ผู้คัดค้านได้มีหนังสือถึงผู้ร้องแจ้งว่าผู้ร้องเป็นลูกหนี้ของจำเลยที่ 2 และให้ผู้ร้องคืนเงินมัดจำตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินบางส่วนจำนวน 4,400,000 บาท ผู้ร้องมีหนังสือปฏิเสธหนี้และแสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ค่าเสียหายจำนวน 1,275,000 บาท กับค่าฤชาธรรมเนียม และค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินและอาคารอีก 1,800,000 บาท รวมหนี้ต้นเงินที่ขอหักกลบลบหนี้จำนวน 3,075,000 บาท และดอกเบี้ยเป็นเวลา 4 ปี เป็นเงิน 922,500 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,997,500 บาท พร้อมค่าฤชาธรรมเนียมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7374/2529ผู้คัดค้านสอบสวนแล้วอนุญาตให้ผู้ร้องหักกลบลบหนี้กับเงินจำนวน 4,400,000 บาทของจำเลยที่ 2 ที่ยังคงอยู่กับจำเลยที่ 2 ได้เพียงจำนวน 475,000 บาท เมื่อหักกลบลบหนี้แล้วผู้ร้องคงเป็นหนี้กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 อยู่อีกจำนวน 3,925,000 บาท และมีหนังสือยืนยันจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดถึงผู้ร้อง ให้ผู้ร้องนำเงินจำนวน 3,925,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จไปชำระภายใน 15 วัน นับแต่วันได้รับหนังสือ โดยที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 2 และได้ขอหักกลบลบหนี้ที่ผู้ร้องเป็นหนี้จำเลยที่ 2 เสร็จสิ้นไปแล้ว ผู้ร้องจึงไม่มีหน้าที่ต้องชำระหนี้ใด ๆ ขอให้เพิกถอนคำสั่งของผู้คัดค้าน
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องได้บอกเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดินโฉนดเลขที่ 43399 และ 43400 แก่จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2528 ทำให้จำเลยที่ 2 มีสิทธิได้รับเงินมัดจำคืนบางส่วนเป็นเงิน 4,400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2528 จนกว่าจะชำระเสร็จ ผู้ร้องมีหนังสือปฏิเสธหนี้และแสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ต่อผู้คัดค้าน โดยนำหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7374/2529 ของศาลชั้นต้น ซึ่งผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นจำเลย และศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 พร้อมบริวารออกจากอาคารเลขที่ 1857 และที่ดินโฉนดเลขที่ 43399 และ 43400 กับให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ 50,000 บาท นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะออกไปเสร็จสิ้น และให้ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนผู้ร้องโดยกำหนดค่าทนายความให้ 5,000 บาท คดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้ร้องจึงขอหักกลบลบหนี้กับเงินของจำเลยที่ 2 ที่ยังคงอยู่กับผู้ร้องจำนวน 4,400,000 บาท ผู้คัดค้านเห็นว่ามูลหนี้ตามคำพิพากษาดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 และที่ 3 ชั่วคราวแล้ว สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายที่สามารถนำมาหักกลบลบหนี้กับเงินของจำเลยที่ 2 นั้น จะต้องเป็นสิทธิที่ได้มาก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว ผู้ร้องจึงมีสิทธินำหนี้ค่าเสียหายเดือนละ 50,000บาท มาหักกลบลบหนี้ได้นับแต่วันฟ้องตามที่ผู้ร้องขอจนถึงวันก่อน ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว คิดคำนวณได้เป็นเวลา 9 เดือน 15 วัน เป็นเงินค่าเสียหาย 475,000 บาทส่วนค่าเสียหายเดือนละ 50,000 บาท นับแต่วันที่ 16 เมษายน 2529 เป็นต้นไป กับค่าฤชาธรรมเนียมจำนวน 55,795 บาท ตามที่ผู้ร้องนำมาขอหักกลบลบหนี้ด้วยนั้น เป็นสิทธิเรียกร้องที่ผู้ร้องได้มาภายหลังมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว ไม่อาจจะขอหักกลบลบหนี้ได้ตามมาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 สำหรับหนี้ค่าตอบแทนการใช้ประโยชน์ในที่ดินและอาคารตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 10745/2529 ของศาลชั้นต้นที่จำเลยที่ 4 เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกเป็นจำเลย ในระหว่างพิจารณาคดีศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยให้จำเลยที่ 4 เข้าทำประโยชน์ในที่ดินและอาคารเลขที่ 1857 ของผู้ร้อง ซึ่งขณะนั้นจำเลยที่ 2 เป็นผู้มีสิทธิในอาคารดังกล่าว และให้จำเลยที่ 4 วางเงินค่าตอบแทนเดือนละ 400,000 บาท จำเลยที่ 4 ทำประโยชน์ในที่ดินและอาคารเป็นเวลา 3 เดือน ต่อมาศาลชั้นต้นได้เปลี่ยนแปลงคำสั่งโดยให้บริษัทอาร์.พี.เจ. จำกัด และบริษัททอปเปอร์คลับบางกอก จำกัด เข้าทำประโยชน์แทนโดยให้วางเงินค่าตอบแทนต่อศาลเดือนละ 200,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ซึ่งบริษัททั้งสองได้วางเงินค่าตอบแทนต่อศาลเพียง 200,000 บาท คงค้างชำระ 400,000บาท ต่อมาผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอรับเงินค่าตอบแทนดังกล่าวจากศาล ศาลชั้นต้นยกคำร้องขณะขอหักกลบลบหนี้คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ผู้ร้องขอหักกลบลบหนี้เป็นเงิน 1,800,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 กันยายน2530 (วันรับมอบการครอบครอง) ถึงวันที่ 6 กันยายน 2533 (วันขอหักกลบลบหนี้) โดยขอหักกับเงินของจำเลยที่ 2 จำนวน 4,400,000 บาท ซึ่งยังคงอยู่ที่ผู้ร้อง ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิจะขอรับเงินค่าตอบแทนดังกล่าวจากศาลได้ คดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2534 ผู้ร้องจึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าว ผู้คัดค้านเห็นว่าไม่มีมูลหนี้ที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่ผู้ร้อง แต่เป็นเงินในกองทรัพย์สินของจำเลยที่ 4 เพราะเป็นโจทก์ในคดีแพ่งดังกล่าว ผู้ร้องไม่มีสิทธิหักกลบลบหนี้กับเงินของจำเลยที่ 2 ที่ยังคงอยู่กับผู้ร้องได้ นอกจากนี้ผู้ร้องไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยได้ตั้งแต่วันผิดสัญญา (29 พฤษภาคม 2528) เพราะผู้ร้องมิได้ขอใช้สิทธิหักกลบลบหนี้ตั้งแต่วันผิดสัญญา ผู้ร้องขอนำหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7374/2529 ของศาลชั้นต้นมาหักกลบลบหนี้ซึ่งผู้ร้องมีสิทธิได้รับชำระหนี้เพียงเดือนละ 50,000 บาทนับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นและตามคำพิพากษาดังกล่าวมิได้กำหนดจำนวนดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดชำระไว้ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คำสั่งของผู้คัดค้านที่ให้ผู้ร้องหักกลบลบหนี้กับเงินจำนวน4,400,000 บาท ของจำเลยที่ 2 ที่ยังคงอยู่ที่ผู้ร้องเป็นเงิน 475,000 บาท เมื่อหักกลบลบหนี้แล้วผู้ร้องยังคงเป็นหนี้กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 อยู่อีกจำนวน 3,925,000 บาทและมีหนังสือแจ้งยืนยันให้ผู้ร้องนำเงินจำนวน 3,925,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 29 พฤษภาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จมาชำระต่อผู้คัดค้านชอบแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องประการแรกมีว่า หนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7374/2529 ของศาลชั้นต้นซึ่งผู้ร้องมีสิทธิได้รับค่าเสียหายจากจำเลยที่ 2 เดือนละ 50,000 บาท ภายหลังจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 ชั่วคราวคืนนับแต่วันที่ 16 เมษายน 2529 ถึงวันที่ 4 กันยายน 2530 อันเป็นวันส่งมอบที่ดินและอาคารให้แก่ผู้ร้องนั้น ผู้ร้องจะนำมาหักกลบลบหนี้กับเงินจำนวน4,400,000 บาท ของจำเลยที่ 2 ที่ยังอยู่กับผู้ร้องได้หรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงคดีนี้ฟังเป็นยุติได้ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่ 2 ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงดังกล่าวโดยผู้ร้องมีสิทธิได้รับค่าเสียหายเดือนละ 50,000 บาท นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม2528 จนกว่าจำเลยที่ 2 และบริวารจะออกไปจากที่พิพาท จึงเท่ากับศาลพิพากษากำหนดค่าเสียหายให้ผู้ร้องได้รับเป็นรายเดือนทุกเดือนไปจนกว่าจำเลยที่ 2 จะส่งมอบที่ดินและอาคารพิพาทให้ผู้ร้อง ดังนั้นมูลหนี้รายนี้จึงสามารถแบ่งแยกกันได้ว่าค่าเสียหายเดือนใดเกิดขึ้นก่อนหรือหลังวันที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ ถ้าหากค่าเสียหายเดือนใดที่ผู้ร้องมีสิทธิได้รับก่อนศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 ก็ย่อมมีสิทธินำมาหักกลบลบหนี้ได้ แต่ภายหลังจำเลยที่ 2 ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราวในวันที่ 16 เมษายน 2529 แล้วมูลหนี้ค่าเสียหายนับแต่วันที่ 16 เมษายน 2529 เป็นต้นไป จึงเป็นสิทธิเรียกร้องที่ผู้ร้องได้รับภายหลังจากมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ซึ่งเข้าข้อยกเว้นตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 102 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ที่ว่า สิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้ที่มีต่อลูกหนี้ ถ้าเกิดขึ้นภายหลังที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้วจะนำมาหักกลบลบหนี้หาได้ไม่ ฎีกาข้อนี้ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
ปัญหาประการต่อไปมีว่า เงินค่าตอบแทนที่มีผู้เข้าไปทำประโยชน์ในที่ดินและอาคารพิพาทจำนวน 1,800,000 บาท ตามที่ปรากฏในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 10745/2529 ของศาลชั้นต้นนั้น ผู้ร้องมีสิทธินำมาหักกลบลบหนี้ได้หรือไม่ เพียงใด พิเคราะห์แล้วเห็นว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีที่จำเลยที่ 4 ฟ้องจำเลยที่ 2 กับพวกเป็นจำเลยฐานผิดสัญญาขณะที่คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลมีคำสั่งให้ใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาโดยให้จำเลยที่ 4 เข้าทำประโยชน์ในที่ดินและอาคารพิพาทมีกำหนด 3 เดือนแต่จำเลยที่ 4 ต้องวางเงินต่อศาลชั้นต้นเดือนละ 400,000 บาท ปรากฏว่าจำเลยที่ 4ไม่ได้วางเงินต่อศาลชั้นต้น ต่อมาศาลชั้นต้นได้เปลี่ยนแปลงคำสั่งใหม่โดยให้บริษัทอาร์.พี.เจ. จำกัด และบริษัททอปเปอร์คลับบางกอก จำกัด เข้าทำประโยชน์มีกำหนด 3 เดือนโดยให้วางเงินต่อศาลชั้นต้นเดือนละ 200,000 บาท ปรากฏว่าบริษัททั้งสองดังกล่าวได้วางเงินเพียง 200,000 บาท และผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอรับเงินค่าตอบแทนดังกล่าวอ้างว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองในอาคารที่ปลูกสร้างบนที่ดิน ปรากฏผลคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาว่าผู้ร้องไม่มีสิทธิที่จะขอรับเงินค่าตอบแทนดังกล่าวตามสำเนาคำพิพากษาศาลฎีกาเอกสารหมาย ค.6 ดังนี้ จึงเท่ากับผู้ร้องหามีสิทธิเรียกร้องเงินค่าตอบแทนในคดีดังกล่าวแต่อย่างใดไม่ จำเลยที่ 2 ไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องรับผิดต่อผู้ร้อง เพราะการที่ศาลชั้นต้นให้คู่ความในคดีวางเงินต่อศาลเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา จะผูกพันก็เฉพาะคู่ความในคดีนั้น ผู้ร้องจึงมิใช่เป็นเจ้าหนี้ในจำนวนเงินค่าตอบแทนดังกล่าวแม้มูลหนี้จะเกิดก่อนจำเลยที่ 2 ถูกพิทักษ์ทรัพย์ ผู้ร้องจะต้องไปว่ากล่าวเป็นกรณีต่างหาก ผู้ร้องไม่มีสิทธินำเงินค่าตอบแทนจำนวน 1,800,000บาท ในคดีดังกล่าวมาหักกลบลบหนี้ตามที่ผู้ร้องฎีกา ฎีกาข้อนี้ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ผู้ร้องชำระหนี้แก่กองทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ตามที่ผู้คัดค้านแจ้งยืนยันหนี้จำนวน 3,925,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี นับแต่วันที่ 30 พฤษภาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้คัดค้าน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์