คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3192/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทในส่วนที่โจทก์มีชื่อถือกรรมสิทธิ์โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปีจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ก่อนตกลงซื้อที่ดินพิพาท โจทก์รู้อยู่แล้วว่าจำเลยครอบครองทำประโยชน์ปลูกพืชผลและปลูกบ้านอยู่ในที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้ว โจทก์จะอ้างว่าจดทะเบียนโดยสุจริตหาได้ไม่ เมื่อจำเลยเป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมแม้จะยังมิได้จดทะเบียนก็ยกเป็นข้อต่อสู้ โจทก์ซึ่งมิได้จดทะเบียนโดยสุจริตได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง โจทก์ทั้งสามบรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิจากเจ้าของเดิม โจทก์ทั้งสามไม่ประสงค์ที่จะให้จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาท โดยไม่ได้บรรยายฟ้องถึงเรื่องที่จำเลยเช่าที่ดินเพื่อเลี้ยงปลา คดีจึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทตามสัญญาเช่าเพื่อเลี้ยงปลาที่โจทก์ที่ 2และที่ 3 ฎีกาว่า การเช่าที่ดินของจำเลยซึ่งเช่าจากโจทก์ที่ 2และที่ 3 ได้มีการเปลี่ยนลักษณะของการเช่าที่ดินจากการเช่าเพื่อทำนามาเป็นการเช่าเพื่อเลี้ยงปลา ย่อมไม่ได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 เมื่อโจทก์บอกเลิกการเช่าและให้จำเลยออกไปจากที่ดินที่เช่าแล้ว โจทก์ที่ 2และที่ 3 จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยนั้น เป็นเรื่องนอกประเด็นแห่งคดีศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ทั้งสามฟ้องว่า โจทก์ทั้งสามมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินตามตราจองเลขที่ 119 ตำบลสองคลอง อำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทราเนื้อที่ 20 ไร่ 68 ตารางวา โดยซื้อและจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายจำเลยอยู่ในที่ดินดังกล่าวโดยอาศัยเจ้าของเดิม โจทก์ทั้งสามไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่อาศัยอีกต่อไป จึงได้บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าวแต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ทั้งสามเสียหายปีละไม่น้อยกว่า 30,000บาท ขอให้บังคับจำเลยขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินดังกล่าวและชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสามปีละ 30,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดิน
จำเลยให้การว่า โจทก์ที่ 1 ไม่มีกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องที่ดินตามที่โจทก์ที่ 1 กล่าวอ้างนั้นจำเลยได้เข้าครอบครองทำประโยชน์รวมเนื้อที่ 13 ไร่ โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของตลอดมาเป็นเวลาประมาณ 35 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์ที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว โจทก์ที่ 1 ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการฟ้องคดีนี้ส่วนที่ดินของโจทก์ที่ 2 และที่ 3 เนื้อที่ 6 ไร่ 78 ตารางวา นั้นจำเลยเช่าทำนามากกว่า 10 ปี สัญญาเช่ายังไม่สิ้นสุดโจทก์ที่ 2และที่ 3 มิได้บอกเลิกการเช่าตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขับไล่จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทในส่วนที่โจทก์ที่ 1 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 1 มีว่า โจทก์ที่ 1ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตหรือไม่ เห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาททั้งปลูกมะม่วง ต้นกล้วย และปลูกบ้านของตน 1 หลัง ซึ่งมีลักษณะถาวร กับปลูกบ้านของบุตรสาวจำเลยอีก 2 หลังมากว่า 10 ปี และโจทก์ที่ 1 เบิกความว่า นายกล้าเป็นผู้แนะนำให้โจทก์ที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาท นายกล้าบอกว่าผู้เลี้ยงปลาในที่ดินพิพาทเช่าจากเจ้าของเดิม แสดงให้เห็นว่าก่อนที่โจทก์ที่ 1 จะตกลงซื้อที่ดินพิพาท โจทก์ที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทมานาน หากโจทก์ที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทโดยสุจริตก็น่าจะสอบถามจำเลยหรือบุตรจำเลยว่าเช่าที่ดินพิพาทจริงหรือไม่ แต่โจทก์ที่ 1 ก็เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่าโจทก์ไปตรวจที่ดินพิพาทก่อนซื้อ 2 ครั้ง ตอนไปตรวจที่ดินโจทก์ที่ 1ไม่พบใครเลยจึงเจือสมกับคำเบิกความของจำเลยที่ตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า ไม่เคยเห็นโจทก์ที่ 1 ไปดูที่ดินพิพาท ทั้งโจทก์ที่ 1ก็ไม่ได้นำนายกล้ามาเบิกความว่าได้บอกกับโจทก์ที่ 1 เรื่องจำเลยเช่าที่ดินพิพาทกันอย่างไรบ้าง และคำเบิกความของโจทก์ที่ 1ก็ไม่ปรากฏว่าก่อนตกลงซื้อที่ดินพิพาท โจทก์ที่ 1 ได้ติดต่อสอบถามนางจรูญ สวัสดิ์บุรี นางสาวสุมน ไกรฤกษ์ ผู้ขายที่ดินพิพาทในฐานะผู้จัดการมรดกให้แก่โจทก์ว่า จำเลยเป็นผู้เช่าที่ดินพิพาทจริงหรือไม่ กลับปรากฏว่านางจรูญ สวัสดิ์บุรี พยานโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า การซื้อขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ที่ 1เป็นเรื่องที่โจทก์ที่ 1 ติดต่อกับนายปรีชาและนายพนาสันต์กันเองไม่ได้ติดต่อกับพยานโดยตรง พยานจึงไม่ทราบรายละเอียด แต่ทราบว่านายปรีชากับนายพนาสันต์ทราบอยู่ก่อนแล้วว่าจำเลยทำประโยชน์อยู่และโจทก์ที่ 1 ก็ทราบว่าจำเลยทำประโยชน์อยู่ก่อนซื้อที่ดินพยานหลักฐานจำเลยจึงน่าเชื่อว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าก่อนตกลงซื้อที่ดินพิพาทโจทก์ที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทจนได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์แล้วโจทก์จะอ้างว่าจดทะเบียนโดยสุจริตหาได้ไม่ เมื่อจำเลยเป็นผู้ได้กรรมสิทธิ์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรม แม้จะยังมิได้จดทะเบียนก็ยกเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งมิได้จดทะเบียนโดยสุจริตได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง ฎีกาโจทก์ที่ 1ฟังไม่ขึ้น
โจทก์ที่ 2 และที่ 3 ฎีกาว่า การเช่าที่ดินของจำเลยซึ่งได้เช่าจากโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ได้มีการเปลี่ยนลักษณะของการเช่าที่ดินจากการเช่าเพื่อทำนามาเป็นเช่าเพื่อเลี้ยงปลาย่อมไม่ได้รับการคุ้มครองตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524เมื่อโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าและให้จำเลยออกไปจากที่ดินที่เช่าแล้วโจทก์ที่ 2 และที่ 3 จึงมีสิทธิฟ้องจำเลยนั้น เห็นว่า โจทก์ทั้งสามบรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาท โดยอาศัยสิทธิจากเจ้าของเดิม โจทก์ทั้งสามไม่ประสงค์ที่จะให้จำเลยอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยไม่ได้บรรยายฟ้องถึงเรื่องที่จำเลยเช่าที่ดินเพื่อเลี้ยงปลา คดีจึงไม่มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่าจำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทตามสัญญาเช่าเพื่อเลี้ยงปลาดังโจทก์ทั้งสามฎีกาฎีกาของโจทก์ดังกล่าวเป็นเรื่องนอกประเด็นแห่งคดี ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้
พิพากษายืน

Share