คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 482/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประเด็นที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์มิได้บรรยายยืนยันข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาให้แน่นอนว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามตั๋วเงินหรือตามสัญญาฝากทรัพย์นั้นจำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การและศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับฝากเงินและลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คมอบให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้คืนเงินฝากแก่โจทก์ได้กระทำในฐานะตัวแทนผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ตัวการ ฟ้องโจทก์จึงแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้วส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวแทนโดยแต่งตั้งหรือเชิดจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวแทน เป็นรายละเอียดที่โจทก์จะนำเข้าสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดาตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566 แม้บิดาโจทก์ยังมีชีวิตอยู่ก็หาเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อยู่ใต้อำนาจปกครองของมารดาไม่ เมื่อมารดายังเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองโจทก์จึงเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ตาม มาตรา 1569 มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด การกู้ยืมเงินหรือรับเงินออมจากประชาชนได้จะต้องปฏิบัติอยู่ในกำหนดกฎเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 4,27 และตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการกำหนดให้บริษัทเงินทุนปฏิบัติในการกู้ยืมเงินหรือรับเงินจากประชาชน และการกำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่บริษัทเงินทุนอาจจ่ายหรืออาจเรียกได้ ลงวันที่14 กรกฎาคม 2524 ข้อ 2(2), ข้อ 3(1) การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 รับเงินจากโจทก์แล้วไม่ออกเอกสารการกู้ยืมหรือตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์และไม่ใช่เพื่อการพัฒนาหรือการเคหะ แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คให้แก่โจทก์ แต่ก็ไม่มีตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ประทับไว้จึงมิได้เป็นการสั่งจ่ายเช็คในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 แต่ตามพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำแทนจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการรับฝากเงินจากโจทก์และจากบุคคลอื่นโดยทั่วไป การชำระดอกเบี้ยรายเดือนเป็นผลประโยชน์ตอบแทนทำให้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตหลงเข้าใจได้ว่า การรับเงินฝากเงินเป็นกิจการของจำเลยที่ 1 ที่ทำได้ตามกฎหมายและอยู่ภายในวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อรับฝากเงินเองโดยเชิดจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวแทน จำเลยที่ 1 ต้องผูกพันรับเอาผลการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยรับผิดคืนเงินที่รับฝากพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 821ประกอบมาตรา 224 วรรคแรก ฎีกาของโจทก์ที่ว่าจำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปีนั้น เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพัฒนาและเพื่อการเคหะ จำเลยที่ 2 และที่ 3เคยเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 โจทก์ได้นำเงินจำนวน 100,000 บาท ไปฝากไว้กับจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ตกลงให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์อัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ระหว่างนั้นจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คจำนวนเงิน100,000 บาท ชำระหนี้เงินฝากให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คดังกล่าวในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1ซึ่งเป็นตัวการจำเลยทั้งสามผิดนัดไม่ชำระดอกเบี้ยให้แก่โจทก์นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 เป็นต้นมาเช็คครบกำหนดใช้เงินธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน เป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับเงินฝากคืน โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยทั้งสามเพิกเฉย จำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการกับจำเลยที่ 2และที่ 3 ในฐานะตัวแทนจึงต้องร่วมกันรับผิดชำระเงิน 100,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี รวมเป็นเงินทั้งสิ้น124,166.60 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน124,166.60 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า นางวรวรรณ วุฒิประจักร์ จะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์หรือไม่ จำเลยที่ 1 ไม่ทราบไม่รับรอง จำเลยที่ 1มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพัฒนา รับฝากเงินจากประชาชนโดยจำเลยที่ 1 ต้องออกเอกสารการกู้ยืมเงินหรือออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ผู้ให้กู้ไว้เท่านั้น จำเลยที่ 1 จะรับฝากเงินจากประชาชนโดยออกเช็คให้ผู้ฝากเงินไว้หาได้ไม่ เพราะขัดต่อวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 เป็นการฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 และประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย จำเลยที่ 1 ไม่เคยรับฝากเงินตามฟ้องจากโจทก์จำเลยที่ 1 ไม่เคยมอบหมายหรือเชิดจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวแทนสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องหรือให้สัตยาบันในการที่จำเลยที่ 2 และที่ 3รับฝากเงินจากโจทก์ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ให้แก่โจทก์นั้น จำเลยที่ 1ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์หรือได้รับประโยชน์จากเงินของโจทก์ แต่ไม่เคยตกลงที่จะจ่ายดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวให้แก่โจทก์หากฟังว่าโจทก์ต้องรับผิดก็ไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การ ต่อมาจำเลยที่ 2ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2ศาลชั้นต้นอนุญาต และจำเลยที่ 3 ขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 100,000 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยที่ 1 โดยกำหนดค่าทนายความ 2,500 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์มิได้บรรยายยืนยันข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาให้แน่นอนว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามตั๋วเงินหรือตามสัญญาฝากทรัพย์นั้น ข้ออ้างตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว จำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ในคำให้การ และศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยให้ ฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้สำหรับปัญหาตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์บรรยายฟ้องได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 มิได้บรรยายฟ้องแสดงโดยแจ้งชัดว่า จำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนโดยการแต่งตั้งหรือเชิด หรือจำเลยที่ 1 กระทำการอย่างใดที่ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 แต่งตั้งหรือเชิดจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวแทนนั้น เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายคำฟ้องแล้วว่า พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 รับฝากเงินและลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คมอบให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้คืนเงินฝากแก่โจทก์ได้กระทำในฐานะตัวแทนผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ตัวการฟ้องโจทก์จึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง แล้วส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3เป็นตัวแทนโดยแต่งตั้งหรือเชิด และจำเลยที่ 1 กระทำอย่างใดอันถือได้ว่า ได้แต่งตั้งหรือเชิดจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวแทน เป็นรายละเอียดที่โจทก์จะนำเข้าสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ส่วนปัญหาตามคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ว่า นางวรวรรณวุฒิประจักร์ มิใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ เพราะนายบรรพตบิดาของโจทก์ยังมีชีวิตอยู่ นายบรรพตจึงเป็นผู้แทนโดยชอบของโจทก์แต่เพียงผู้เดียว นางวรวรรณจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์นั้นเห็นว่า โจทก์ยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1566 แม้นายบรรพตบิดาโจทก์ยังมีชีวิตอยู่ก็หาเป็นเหตุให้โจทก์ไม่อยู่ใต้อำนาจปกครองของนางวรวรรณมารดาไม่ นางวรวรรณเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองโจทก์จึงเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของโจทก์ตาม มาตรา 1569 มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และคำแก้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 รับฝากเงินจากโจทก์ในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1หรือในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 อันจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดคืนเงินให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 จะกู้ยืมเงินหรือรับเงินออมจากประชาชนได้จะต้องปฏิบัติอยู่ในกำหนดกฎเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติ การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 27 และตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง การกำหนดให้บริษัทเงินทุนปฏิบัติในการกู้ยืมเงินหรือรับเงินจากประชาชน และการกำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่บริษัทเงินทุนอาจจ่ายหรืออาจเรียกได้ ลงวันที่ 14 กรกฎาคม 2524ข้อ 2(2), ข้อ 3(1) เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 รับเงินจากโจทก์แล้วไม่ออกเอกสารการกู้ยืมหรือตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์และไม่ใช่เพื่อการพัฒนาการเคหะ แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คเอกสารหมาย จ.3 ให้แก่โจทก์แต่ก็ไม่มีตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ประทับไว้จึงมิได้เป็นการสั่งจ่ายเช็คในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1 แต่ตามพฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกระทำแทนจำเลยที่ 1 เป็นผู้ดำเนินการรับฝากเงินจากโจทก์และจากบุคคลอื่นโดยทั่วไป การชำระดอกเบี้ยรายเดือนเป็นผลประโยชน์ตอบแทนทำให้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตหลงเข้าใจได้ว่า การรับเงินฝากเงินเป็นกิจการของจำเลยที่ 1 ที่ทำได้ตามกฎหมายและอยู่ภายในวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อรับฝากเงินเอง โดยเชิดจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวแทนในการรับฝากเงินและสั่งจ่ายเช็คเอกสารหมายจ.3 ให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันรับเอาผลการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 โดยชำระเงินที่รับฝากคืนให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 821 ประกอบมาตรา 224 วรรคแรก ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 1ต้องร่วมรับผิดใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปีนั้นเห็นว่าฎีกาของโจทก์ข้อนี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share