แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ จำเลยให้การว่าได้ทำสัญญาจริง แต่ได้ชำระหนี้แล้ว โจทก์ไม่ยอมแทงเพิกถอนและไม่ยอมคืนหนังสือสัญญา ดังนี้ เป็นการเพียงพอที่จะนำสืบตามข้อกล่าวอ้างได้แล้ว ไม่จำต้องบรรยายรายละเอียดแห่งการชำระหนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องนำสืบต่อไป จำเลยอาจมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อโจทก์มาแสดงต่อศาลก็ได้ การที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 15,000 บาท แก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยมีสิทธินำสืบว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วหรือไม่ พิเคราะห์แล้วโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเป็นเงิน 15,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้คดีว่า ได้ทำสัญญากู้ยืมจริง แต่ได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว โจทก์ไม่ยอมแทนเพิกถอนและไม่ยอมคืนหนังสือสัญญากู้ยืมดังกล่าวแก่จำเลย กลับนำสัญญากู้ยืมมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ เห็นว่าการที่จำเลยให้การต่อสู้คดีกล่าวอ้างว่าได้ชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมแก่โจทก์แล้วนั้น ก็เป็นการเพียงพอที่จะนำสืบตามข้อกล่าวอ้างไว้แล้ว ไม่จำต้องบรรยายรายละเอียดแห่งการชำระหนี้แต่อย่างใด เรื่องรายละเอียดดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องนำสืบต่อไป ซึ่งจำเลยอาจมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อโจทก์ผู้ให้ยืมมาแสดงต่อศาลก็ได้การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยนั้นจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อพิพากษาใหม่”