แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำว่าสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1299วรรคสองหมายความว่าได้มาโดยไม่ทราบว่ามีผู้อื่นได้สิทธิในอสังหาริมทรัพย์นั้นมาก่อนแล้ว ผู้คัดค้านได้ที่พิพาทมาโดยทราบว่าผู้ร้องทั้งสองครอบครองที่พิพาทมาก่อนแล้วถือว่าผู้คัดค้านจดทะเบียนซื้อที่พิพาทมาโดยไม่สุจริตแม้ผู้ร้องทั้งสองยังมิได้จดทะเบียนการได้ที่พิพาทมาก็ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ผู้คัดค้านได้
ย่อยาว
ผู้ร้อง ทั้ง สอง ยื่น คำร้องขอ ว่า ผู้ร้อง ทั้ง สอง เข้า ครอบครองที่ดิน โฉนด เลขที่ 500 บางส่วน โดย ความสงบ และ โดย เปิดเผย ด้วยเจตนา เป็น เจ้าของ ติดต่อ กัน มา เป็น เวลา เกินกว่า 10 ปี แล้วขอให้ มี คำสั่ง ว่า ที่ดิน เฉพาะ ส่วน ที่ ผู้ร้อง ทั้ง สอง ครอบครอง ดังกล่าวตกเป็น กรรมสิทธิ์ ของ ผู้ร้อง ทั้ง สอง
ผู้คัดค้าน ยื่น คำคัดค้าน ว่า ที่ดิน โฉนด เลขที่ 500 เดิม มีนาง มะลิกับนายไสว ถือ กรรมสิทธิ์ร่วม กัน และ แบ่งแยก ทำกิน เป็น สัดส่วน โดย นาง มะลิ ทำกิน ใน ส่วน ด้าน ทิศเหนือ ต่อมา ผู้คัดค้าน ซื้อ ที่ดิน ส่วน ของ นาง มะลิ โดยสุจริต เสีย ค่าตอบแทน และ จดทะเบียน สิทธิ โดยสุจริต แล้ว ผู้ร้อง ทั้ง สอง ไม่อาจ ได้ กรรมสิทธิ์ ใน ที่พิพาท ขอให้ยกคำร้อง ขอ และ พิพากษา ว่า ที่พิพาท เป็น กรรมสิทธิ์ ของ ผู้คัดค้าน
ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว มี คำสั่ง ให้ยก คำร้องขอ
ผู้ร้อง ทั้ง สอง อุทธรณ์ โดย ผู้พิพากษา ที่ ได้ นั่งพิจารณา คดีใน ศาลชั้นต้น รับรอง ว่า มีเหตุ สมควร ที่ จะ อุทธรณ์ ใน ข้อเท็จจริง ได้
ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ ที่พิพาท เนื้อที่ 4 ไร่72 2/10 ตารางวา ตกเป็น กรรมสิทธิ์ ของ ผู้ร้อง ทั้ง สอง โดย การ ครอบครองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ให้ยก คำคัดค้านห้าม ผู้คัดค้าน เกี่ยวข้อง กับ ที่พิพาท
ผู้คัดค้าน ฎีกา โดย ผู้พิพากษา ที่ ได้ นั่งพิจารณา คดี ใน ศาลชั้นต้นรับรอง ว่า มีเหตุ สมควร ที่ จะ ฎีกา ใน ข้อเท็จจริง ได้
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า ข้อเท็จจริง เบื้องต้น ฟังได้ ว่า ที่ดิน โฉนดเลขที่ 500 ตำบล เขาขี้ฝอย อำเภอทัพทัน จังหวัด อุทัยธานี เดิม มี ชื่อ นาง มะลิ สมัครเขตรการ กับ นาย ไสว รักกสิการ ถือ กรรมสิทธิ์ ร่วมกัน แต่ แบ่ง การ ครอบครอง ทำกิน โดย นาง มะลิ ทำกิน ใน ส่วน ด้าน ทิศเหนือ ผู้ร้อง ทั้ง สอง ได้ ครอบครอง ที่พิพาท เนื้อที่ 4 ไร่72 2/10 ตารางวา ซึ่ง อยู่ ทาง ด้าน ทิศเหนือ ใน ส่วน ของ นาง มะลิ โดย ความสงบ และ โดย เปิดเผย ด้วย เจตนา เป็น เจ้าของ ติดต่อ กัน เป็น เวลา10 ปี ผู้ร้อง ทั้ง สอง ได้ กรรมสิทธิ์ ใน ที่พิพาท โดย การ ครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 แล้ว หลังจาก นั้น เมื่อ ปี2531 นาง มะลิ ได้ นำ เจ้าพนักงาน ที่ดิน ไป รังวัด เพื่อ แบ่งแยก โฉนด ผู้ร้อง ที่ 1 คัดค้าน ไม่ให้ รังวัด ที่พิพาท เป็นเหตุ ให้ ไม่สามารถแบ่งแยก ได้ ต่อมา ปี 2532 ผู้คัดค้าน ซื้อ ที่ดิน ส่วน ของ นาง มะลิ ซึ่ง รวม ที่พิพาท อยู่ ด้วย ใน ราคา 35,000 บาท โดย ทำ เป็น หนังสือ และจดทะเบียน ต่อ เจ้าพนักงาน ที่ดิน คดี มี ปัญหา ต้อง วินิจฉัย ตาม ฎีกาผู้คัดค้าน ว่า ผู้คัดค้าน จดทะเบียน ซื้อ ที่พิพาท มา โดยสุจริต หรือไม่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1299 วรรคสอง บัญญัติ ว่า”ถ้า มี ผู้ ได้ มา ซึ่ง อสังหาริมทรัพย์ หรือ ทรัพยสิทธิ อัน เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ โดย ทาง อื่น นอกจาก นิติกรรม สิทธิ ของ ผู้ ได้ มา นั้นถ้า ยัง มิได้ จดทะเบียน ไซร้ ท่าน ว่า จะ มี การ เปลี่ยนแปลง ทาง ทะเบียนไม่ได้ และ สิทธิ อัน ยัง มิได้ จดทะเบียน นั้น มิให้ ยกขึ้น เป็น ข้อต่อสู้บุคคลภายนอก ผู้ ได้ สิทธิ มา โดย เสีย ค่าตอบแทน และ โดยสุจริต และ ได้จดทะเบียน สิทธิ โดยสุจริต แล้ว ” คำ ว่า สุจริต ตาม บทบัญญัติ นี้หมายความ ว่า ได้ มา โดย ไม่ทราบ ว่า มี ผู้อื่น ได้ สิทธิ ใน อสังหาริมทรัพย์นั้น มา ก่อน แล้ว ข้อเท็จจริง ฟังได้ ว่า ผู้คัดค้าน ได้ ที่พิพาท มาโดย ทราบ ว่า ผู้ร้อง ทั้ง สอง ครอบครอง ที่พิพาท มา ก่อน แล้ว ถือว่าผู้คัดค้าน จดทะเบียน ซื้อ ที่พิพาท มา โดย ไม่สุจริต แม้ ผู้ร้อง ทั้ง สองยัง มิได้ จดทะเบียน การ ได้ ที่พิพาท มา ก็ ยกขึ้น เป็น ข้อต่อสู้ ผู้คัดค้านได้
พิพากษายืน