คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3189/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่เศษ จากจำนวนที่ดิน 7 ไร่ 1 งาน จำเลยให้การว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์รวมเพียง1 งาน 26 ตารางวา เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่โต้แย้งกันในจำนวนที่ดินส่วนที่ต่างกัน คู่ความตีราคาทุนทรัพย์พิพาท 90,000 บาท จึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์กึ่งหนึ่ง หากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะไม่เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมที่ดินซึ่งโจทก์ได้ครอบครองอยู่ทางทิศใต้เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่เศษ ออกเป็นส่วนของโจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมและผู้มีชื่อต่างได้แบ่งแยกการครอบครองออกเป็นส่วนสัดแน่นอนแล้ว โดยโจทก์ครอบครองที่ดินแปลงหมายเลข 1 เนื้อที่ประมาณ 1 งาน 26 ตารางวาโจทก์มิได้ฟ้องทายาทขอแบ่งที่ดินภายใน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายจึงขาดอายุความ และโจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 2006 ตำบลทับยา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรีออกให้โจทก์กึ่งหนึ่ง หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดดังกล่าวข้างต้นให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองแทน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 800 บาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่เศษ จากจำนวนที่ดิน 7 ไร่ 1 งาน จำเลยที่ 2ให้การว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์รวมเพียง 1 งาน 26 ตารางวา เป็นคดีมีทุนทรัพย์ที่โต้แย้งกันในจำนวนที่ดินส่วนที่ต่างกัน ซึ่งคู่ความตีราคาทุนทรัพย์พิพาท 90,000 บาท จึงต้องห้ามคู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง ฯลฯ แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าหากจำเลยทั้งสองไม่ยอมไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองแทนและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้นเป็นการไม่ถูกต้องเพราะไม่เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1364 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง โดยการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมนั้นให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364
พิพากษาแก้เป็นว่า วิธีการแบ่งให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา800 บาท แทนโจทก์

Share