แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
วิธีการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 แม้ศาลจะพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินให้โจทก์กึ่งหนึ่งก็ตาม แต่จะพิพากษาให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 2006 โจทก์ได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวเฉพาะส่วนที่โจทก์ได้รับการยกให้และรับมรดกมาจากบิดามารดาทางทิศใต้เนื้อที่ประมาณ 3 ไร่เศษโจทก์ประสงค์จะขอแบ่งแยกที่ดินส่วนของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองไม่ยอม ขอศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวออกเป็นส่วนของโจทก์หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแสดงเจตนาแทนจำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 โจทก์ และจำเลยที่ 1 เป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ที่ดินโฉนดเลขที่ 2006 เดิมมีเนื้อที่7 ไร่ 1 งาน แต่ปัจจุบันเหลือประมาณ 6 ไร่ เพราะถูกแม่น้ำเจ้าพระยาเซาะพัง ผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ต่างได้ครอบครองที่ดินของตนมีเขตคันทั้งสี่ด้านมาเป็นเวลาเกิน 10 ปีแล้ว โดยโจทก์ครอบครองเนื้อที่ประมาณ 1 งาน 26 ตารางวา โจทก์มิได้ฟ้องทายาทขอแบ่งที่ดินภายใน 1 ปี นับแต่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายจึงขาดอายุความ และโจทก์ใช้สิทธิไม่สุจริต จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 2006 ตำบลทับยา อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรีออกให้โจทก์กึ่งหนึ่งหากจำเลยทั้งสองไม่ยอมไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดดังกล่าวข้างต้น ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองแทน
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 2ในปัญหาข้อกฎหมายว่าโจทก์ฟ้องเรียกมรดกของนางน้อย ใจมั่นเกินกว่า 1 ปีคดีขาดอายุความมรดกแล้วหรือไม่ การวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า คดีนี้เป็นเรื่องฟ้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมไม่ใช้เรื่องฟ้องเรียกเอาทรัพย์มรดก ทั้งโจทก์ได้รับมรดกนางน้อย ใจมั่น แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่าจะนำอายุความมรดกมาบังคับแก่คดีนี้หาได้ไม่ ฎีกาจำเลยที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกันแต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าหากจำเลยทั้งสองไม่ยอมไปทำการรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองแทนและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้นเป็นการไม่ถูกต้อง เพราะไม่เป็นไปตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1364 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง โดยการแบ่งกรรมสิทธิ์รวมนั้นให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1364”
พิพากษาแก้เป็นว่า วิธีการแบ่งให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1364 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์