คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3187/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยพักอาศัยอยู่ในบ้านที่เกิดเหตุซึ่งเป็นของญาติจำเลยการที่จำเลยพาอาวุธปืนติดตัวอยู่ในที่อยู่อาศัยของจำเลยเองจึงไม่เป็นความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุสมควร.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนลูกซองสั้น 1 กระบอก ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับ พร้อมกระสุนปืนลูกซอง เบอร์ 12จำนวน 1 นัดไว้ในความครอบครองและพาไปในหมู่บ้าน โดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7,8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371, 91 และริบของกลาง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7 ประกอบกับมาตรา 72 วรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้ลงโทษตามมาตรา 7 ประกอบกับมาตรา 72 วรรคหนึ่งซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 1 ปี และผิดฐานพาอาวุธปืนไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา8 ทวิ วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 72 ทวิ วรรคสอง และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 6 เดือน เรียงกระทงลงโทษเป็นจำคุก1 ปี 6 เดือน คำรับในชั้นจับกุมและสอบสวนกับข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก12 เดือน และริบอาวุธปืนกับกระสุนปืนของกลาง จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ในข้อหามีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ปรับ 6,000 บาทอีกสถานหนึ่งลดโทษให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้ยกฟ้องในข้อหาพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า จำเลยมีอาวุธปืนลูกซองสั้นพร้อมด้วยกระสุนปืน 1 นัด ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต คงมีปัญหาจำต้องวินิจฉัยในชั้นฎีกาว่าจำเลยได้พาอาวุธปืนพร้อมด้วยกระสุนปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุสมควรด้วยหรือไม่ ปัญหาข้อนี้ได้ความว่าเจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยพร้อมด้วยอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางได้ที่บ้านเลขที่ 13 หมู่ที่ 3 ตำบลดอนโพธิ์ อำเภอเมืองลพบุรีจังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นบ้านของนางสาวประวิง แสนคำ และในขณะจับกุมที่บ้านดังกล่าวกำลังมีงานศพมารดาของเจ้าของบ้าน โจทก์นำสืบว่าในชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยรับสารภาพในข้อหาพาอาวุธปืนพร้อมด้วยกระสุนปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควรด้วย ส่วนจำเลยนำสืบว่า จำเลยเป็นหลานของนางสาวประวิงเจ้าของบ้านที่เกิดเหตุ นางหอมผู้ตายเป็นย่าของจำเลย จำเลยไปอยู่อาศัยในบ้านที่เกิดเหตุเพื่อดูแลนางหอมและช่วยทำนาได้ราว3 ปี แล้ว จำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุมและสอบสวนเพราะเจ้าพนักงานตำรวจบอกว่าข้อหาทั้งสองเหมือนกัน ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าในชั้นพิจารณาไม่มีพยานบุคคลของโจทก์ปากใดยืนยันว่าจำเลยไม่ได้อยู่อาศัยในบ้านที่เกิดเหตุ คงปรากฏหลักฐานตามเอกสารในสำนวนคือบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.1 และคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนเอกสารหมาย จ.3 ว่า จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่11 หมู่ที่ 4 ตำบลดอนโพธิ์ อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรีอันเป็นคนละแห่งกับบ้านที่เกิดเหตุ ซึ่งความข้อนี้จำเลยก็นำสืบอยู่ว่า ในขณะถูกจับเจ้าพนักงานตำรวจได้ขอบัตรประจำตัวของจำเลยไว้จึงอาจเป็นไปได้ว่าทั้งในชั้นจับกุมและสอบถามเจ้าพนักงานตำรวจได้บันทึกภูมิลำเนาของจำเลยตามหลักฐานในบัตรประจำตัว ส่วนพยานจำเลยนอกจากตัวจำเลยจะเบิกความยืนยันว่า จำเลยไปอยู่ที่บ้านเกิดเหตุก่อนถูกจับกุมเป็นเวลาประมาณ 3 ปีแล้ว จำเลยยังมีนางสาวประวิงเจ้าของบ้านที่เกิดเหตุและนายสอาด วิชัยศร ผู้ใหญ่บ้านในท้องที่เกิดเหตุมาเบิกความรับรองด้วยโดยเฉพาะนายสอาดเป็นพยานคนกลางไม่มีเหตุให้ระแวงว่าจะเบิกความช่วยเหลือจำเลยพยานหลักฐานจำเลยจึงมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยพักอาศัยอยู่ในบ้านที่เกิดเหตุจริง การที่จำเลยพาอาวุธปืนติดตัวอยู่ในที่อยู่อาศัยของจำเลยเองจึงไม่เป็นความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาตและโดยไม่มีเหตุสมควร คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share