คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3186/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

เหตุเกิดในเวลากลางคืน บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างไม่มากที่ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุ 6 ปี เบิกความว่าจำเลยเอาไฟแช็กมาจุดที่ปากนั้น แม้จะมีแสงสว่างเพิ่มขึ้นก็ตาม แต่ในพฤติการณ์ที่กำลังถูกประทุษร้ายเช่นนั้น ผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเด็กย่อมต้องตกใจกลัวยากที่จะจำหน้าคนร้ายได้แม่นยำและจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2ว่าจำเลยเป็นเพื่อนบ้านกับตนรู้จักกันมาประมาณ 10 ปีแล้ว แสดงว่าผู้เสียหายที่ 1 ต้องเคยพบเห็นจำเลยมาก่อนเพราะบ้านอยู่ใกล้เคียงกันแต่กลับมิได้บอกผู้เสียหายที่ 2 ซึ่งเป็นบิดาหรือผู้ใดเลยว่าเคยเห็นหน้าคนร้ายมาก่อน ภาพคนร้ายที่ยกร่างตามคำบอกเล่าผู้เสียหายที่ 1 ก็มิได้คล้ายคลึงกับภาพของจำเลยตามภาพถ่าย คงเหมือนกันเพียงเป็นคนที่ไว้หนวดและเคราเท่านั้น การที่ผู้เสียหายที่ 1 ชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องในชั้นสอบสวนก็ไม่ปรากฏว่าคนที่เจ้าพนักงานตำรวจนำไปให้ผู้เสียหายที่ 1ชี้ตัวนั้นไว้หนวดและเคราทุกคนหรือไม่ น่าสงสัยว่าที่ผู้เสียหายที่ 1 อ้างว่าจำจำเลยได้นั้นจะจำได้จริงหรือไม่หรือจำได้เพียงการไว้หนวดและเคราเท่านั้น เมื่อพิจารณาประกอบกับการที่ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความต่อศาลด้วยการพยักหน้าและส่ายหน้าเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากการใช้คำถามนำของโจทก์เกือบทั้งหมดด้วยแล้ว ทำให้เห็นว่าคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1ไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277,317, 91

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสองและ 317 วรรคสาม อันเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกินสิบสามปีจำคุก 7 ปี ฐานพรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารจำคุก 5 ปีรวมจำคุก 12 ปี

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายพาผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุ 6 ปีไปกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่คดีคงมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้จริงหรือไม่ในปัญหาข้อนี้โจทก์มีผู้เสียหายที่ 1 เป็นประจักษ์พยานเบิกความว่าจำเลยเป็นคนร้าย เห็นว่า เหตุเกิดในเวลากลางคืน แม้ร้อยตำรวจโทปราบพาลจะเบิกความว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างอยู่บ้าง แต่ผู้เสียหายที่ 2เบิกความว่าได้เข้าไปดูบริเวณที่เกิดเหตุด้วยแต่ไม่พบอะไรเพราะมืดการที่ร้อยตำรวจโทปราบพาลไปตรวจสถานที่เกิดเหตุในคืนเกิดเหตุและพบเสื่อ กางเกงในเด็กและกระโปรงเด็กของกลางก็น่าเชื่อว่าใช้แสงสว่างจากไฟฉายแสดงว่าบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงสว่างไม่มาก ที่ผู้เสียหายที่ 1เบิกความว่าจำเลยเอาไฟแช็กมาจุดที่ปากนั้น แม้จะมีแสงสว่างเพิ่มขึ้นก็ตามแต่ในพฤติการณ์ที่ผู้เสียหายที่ 1 กำลังถูกประทุษร้ายเช่นนั้น ผู้เสียหายที่ 1ซึ่งเป็นเด็กย่อมต้องตกใจกลัว ยากแก่การที่จะจำหน้าคนร้ายได้แม่นยำ ดังที่ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 2 ว่าจำเลยเป็นเพื่อนบ้านกับตนรู้จักกันมาประมาณ 10 ปีแล้ว แสดงว่าผู้เสียหายที่ 1 ต้องเคยเห็นหน้าจำเลยมาก่อนเพราะอยู่บ้านใกล้เคียงกัน แต่ผู้เสียหายที่ 1 กลับมิได้บอกผู้เสียหายที่ 2 หรือผู้ใดเลยว่าเคยเห็นหน้าคนร้ายมาก่อน หรือคนร้ายเป็นคนที่อยู่บ้านใกล้เคียงกัน ถึงกับต้องมีการยกร่างภาพของคนร้ายตามคำบอกเล่าของผู้เสียหายที่ 1 ซึ่งภาพของคนร้ายก็มิได้คล้ายคลึงกับภาพของจำเลยตามภาพถ่ายดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย คงเหมือนกันเพียงเป็นคนที่ไว้หนวดและเคราเท่านั้น ร้อยตำรวจเอกเกษม เพียรนิรมิต เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมจำเลยเบิกความว่าพยานได้นำคนที่หน้าตาคล้ายภาพที่ยกร่างขึ้นไปให้ผู้เสียหายที่ 1 ชี้ตัว แต่ผู้เสียหายที่ 1 ไม่ชี้ จนนำจำเลยไปให้ดูผู้เสียหายที่ 1จึงชี้ตัว ดังนี้ แสดงว่ามีคนที่มีใบหน้าคล้ายภาพที่ยกร่างขึ้นหลายคนและก็ไม่ปรากฏว่าคนที่ร้อยตำรวจเอกเกษมนำไปให้ผู้เสียหายที่ 1 ดูตัวนั้นไว้หนวดและเคราทุกคนหรือไม่ เนื่องจากผู้เสียหายที่ 1 ยืนยันตลอดมาว่าคนร้ายไว้หนวด การที่ผู้เสียหายที่ 1 ชี้ตัวจำเลยได้ถูกต้องในชั้นสอบสวนจึงไม่มีน้ำหนัก เพราะในภาพถ่ายดังกล่าวมีจำเลยคนเดียวที่มีหนวดและเครา ทั้งไม่มีลักษณะคล้ายคลึงกับคนอื่นในภาพนั้นเลย น่าสงสัยว่าที่ผู้เสียหายที่ 1 อ้างว่าจำจำเลยได้นั้นจะจำได้จริงหรือไม่ หรือจำได้เพียงการไว้หนวดและเคราเท่านั้น เมื่อพิจารณาประกอบกับการที่ผู้เสียหายที่ 1เบิกความต่อศาลชั้นต้นด้วยการพยักหน้าและส่ายหน้าเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากการใช้คำถามนำของโจทก์เกือบทั้งหมดด้วยแล้วทำให้เห็นว่าคำเบิกความของผู้เสียหายที่ 1 ไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง ข้อที่มีการตรวจพบคราบอสุจิที่อวัยวะเพศของผู้เสียหายที่ 1 และที่เสื่อของกลางก็ไม่ได้มีการตรวจทางวิทยาศาสตร์ว่าคราบอสุจิดังกล่าวเป็นของจำเลยจริงหรือไม่สำหรับขนที่พบที่เสื่อของกลางนั้น ไม่ปรากฏว่าพบกี่เส้น และนำขนที่ตัวจำเลยไปตรวจพิสูจน์อีกกี่เส้น การส่งเส้นขนไปตรวจพิสูจน์เป็น 2 ถุงโดยไม่ปรากฏจำนวนจึงน่าสงสัยว่าอาจเป็นการเอาเส้นขนที่ตัวจำเลยรวมไปกับเส้นขนที่พบที่เสื่อของกลางก็ได้ หลังเกิดเหตุจำเลยก็มิได้หลบหนี ทั้งมิได้โกนหนวดและเคราออกเพื่อเปลี่ยนแปลงจุดเด่นของใบหน้าตนเองให้เป็นพิรุธแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวยังไม่มีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share