คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3186/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินที่จำเลยเช่าจากโจทก์ แล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยยอมรื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินของโจทก์ ศาลพิพากษาตามยอมและ ส. บุตรของจำเลยยอมรับว่าเป็นเจ้าของบ้านพิพาท จำเลยเป็นผู้ดูแลบ้านพิพาทแทน ส. และยอมปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังนี้ ส. อยู่ในฐานะวงศ์ญาติและบริวารของจำเลย ผู้ร้องอาศัยอยู่ในบ้านพิพาทในฐานะผู้อาศัยสิทธิของ ส. ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีที่ ส. เป็นโจทก์ฟ้องผู้ร้องคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวมีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณีไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ผู้ร้องย่อมอยู่ในฐานะบริวารของจำเลยเช่นเดียวกัน จึงไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและหมายบังคับคดีในคดีนี้ ส่วนที่ผู้ร้องฎีกาถึงเหตุที่เพิ่งยกประเด็นเรื่องโจทก์ให้ผู้ร้องเช่าที่ดินต่อจากจำเลย และ ส.ไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยดูแลบ้านพิพาทและฟ้องคดีแทนขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์นั้น เป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยให้รื้อถอนบ้านเลขที่ 200แขวงบางมด เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินส่วนหนึ่งของโฉนดเลขที่ 5077 ที่จำเลยเช่าจากโจทก์ผู้เป็นเจ้าของแล้ว โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันว่า จำเลยยอมรื้อถอนบ้านหลังดังกล่าวออกจากที่ดินของโจทก์ ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาตามยอม ขอให้ศาลตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีศาลมีคำสั่งออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นผู้อยู่อาศัยในบ้านเลขที่ 200ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 16 พฤษภาคม2533 ของศาลชั้นต้น ในคดีหมายเลขแดงที่ 1888/2531 ระหว่างนางสาวสาลินี ไกรแสงศรี โดยนายสมบัติ ไกรแสงศรี โจทก์นางวา อินทะกูลหรือไกรแสงศรี จำเลย ซึ่งเป็นผู้ร้องคดีนี้ว่าผู้ร้องยอมอาศัยห้องหนึ่งของบ้านเลขที่ 200 ของนางสาวสาลินีอย่างผู้อาศัย และทำหน้าที่เก็บค่าเช่าห้องจากผู้เช่าอีก 6 ห้องให้นางสาวสาลินี หากผู้ร้องไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงยอมออกจากบ้านพิพาทและยอมให้นางสาวสาลินีบังคับคดีได้ทันที บ้านพิพาทในคดีดังกล่าวเป็นบ้านหลังเดียวกับบ้านพิพาทคดีนี้ บ้านพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนางสาวสาลินีหาใช่กรรมสิทธิ์ของจำเลย ผู้ร้องมิได้กระทำผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ ซึ่งยังมีผลบังคับอยู่สัญญาประนีประนอมยอมความคดีนี้ไม่ผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีทำให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายขอให้มีคำสั่งเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและหมายบังคับคดีนี้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องออกจากบ้านพิพาทภายใน 20 วันนับแต่วันที่ 16 เมษายน 2533
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บ้านพิพาทปลูกอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยจำเลยเป็นผู้เช่าที่ดิน เมื่อโจทก์ขับไล่จำเลยให้รื้อถอนบ้านพิพาทออกจากที่ดินของโจทก์และจำเลยตกลงยอมรื้อถอนบ้านพิพาทออกไปตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว ซึ่งนางสาวสาลินีบุตรจำเลยยอมรับว่า จำเลยเป็นผู้ดูแลบ้านพิพาทและยินยอมที่จะปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความคดีนี้ นางสาวสาลินีจึงอยู่ในฐานะวงศ์ญาติและบริวารของจำเลย ผู้ร้องในฐานะผู้อาศัยอยู่ในบ้านพิพาทตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งทำไว้กับนางสาวสาลินี แม้มีคำพิพากษาตามยอมแล้ว ก็มีผลผูกพันเฉพาะคู่กรณี หามีผลต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ ผู้ร้องจึงอยู่ในฐานะบริวารของจำเลยเช่นเดียวกัน หาใช่มีอำนาจพิเศษอันจะเป็นข้ออ้างต่อโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(1) ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิจะขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและหมายบังคับคดีในคดีนี้สำหรับฎีกาของผู้ร้องที่ว่า เหตุที่เพิ่งยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์เรื่องโจทก์ผู้ร้องเช่าที่ดินต่อจากจำเลย และนางสาวสาลินีไม่ได้มอบอำนาจให้จำเลยดูแลบ้านพิพาทและฟ้องคดีนั้นเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
พิพากษายืน

Share