คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5134/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นหนี้บริษัท จ. โจทก์มีหนังสือถึงนาย จ.บิดาโจทก์ขอให้ชำระหนี้แทนโดยโจทก์จะโอนหุ้นของโจทก์ในบริษัทแห่งอื่นรวม 5 บริษัทให้แก่นาย จ.เป็นการชดใช้ให้ ซึ่งในหนังสือดังกล่าวโจทก์แสดงความประสงค์ไว้ว่า โจทก์ยังหวังที่จะกลับมามีส่วนในครอบครัวต่อไปภายหน้าถ้าเป็นไปได้เมื่อไหร่ที่โจทก์พร้อม โจทก์อยากจะขอซื้อหุ้นที่จะโอนให้แก่นาย จ.กลับคืน โดยโจทก์ยินยอมที่จะซื้อคืนมาในราคาที่โอนไปบวกดอกเบี้ยตามอัตราที่นาย จ.หรือสมาชิกของครอบครัวจะกำหนดให้ข้อความดังกล่าวไม่เป็นการแสดงเจตนาแสดงความประสงค์ของโจทก์ในลักษณะที่เป็นคำขอให้นาย จ.ทำสัญญาด้วย และไม่เป็นการชัดเจนแน่นอนว่าข้อที่จะทำให้เกิดหรือมีขึ้นคือการซื้อหุ้นดังกล่าวนั้นจะมีทางเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่เมื่อใด ข้อความที่ว่าโจทก์ยังหวังที่จะกลับมามีส่วนในครอบครัวต่อไปภายหน้าทำให้เห็นได้เป็นการแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่โจทก์คาดหวังไว้ล่วงหน้า ถ้ามีโอกาสก็จะทำอย่างนั้นซึ่งในขณะที่ทำหนังสือถึงนาย จ.นั้น โจทก์ก็ยังไม่รู้ว่าโอกาสเช่นนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ และยังไม่แน่นอนว่านาย จ.จะรับโอนหุ้นที่โจทก์อ้างถึงเป็นการชำระหนี้หรือไม่ ทั้งยังไม่ได้มีการโอนหุ้นไปเป็นของนาย จ. ขณะนั้นจึงต้องถือว่าเรื่องการโอนหุ้นเป็นการชำระหนี้เป็นเรื่องอนาคต แม้ต่อมา นาย จ.ได้ตอบตกลงรับโอนหุ้นเป็นการชำระหนี้เงินกู้และโจทก์ได้โอนให้ นายจ.ไปแล้วก็ตาม ข้อความที่ปรากฏในหนังสือที่โจทก์มีถึงนาย จ.ก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นคำเสนอที่โจทก์ขอซื้อหุ้นคืนจากนาย จ. แต่เป็นเพียงข้อปรารถถึงสิ่งที่โจทก์คาดหวังไว้ในอนาคตเท่านั้น ไม่มีผลที่จะผูกนิติสัมพันธ์อย่างใดกับผู้ที่ได้รับการปรารถเช่นนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ เป็นบุตรของนาย จ.นาย จ.ถึงแก่กรรมแล้ว จำเลยทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกของนาย จ. ตามคำสั่งศาล โจทก์เป็นหนี้บริษัท จ.และไม่สามารถชำระหนี้ได้ จึงขอให้นาย จ.บิดาชำระหนี้แทน โดยโจทก์ได้โอนหุ้นของโจทก์ในบริษัทอื่นรวม ๕ บริษัทให้นาย จ.เป็นการชำระหนี้ โดยโจทก์แสดงความประสงค์ไว้ว่าหากมีเงินก็จะขอซื้อหุ้นเหล่านี้คืนในราคาที่โอนไปบวกด้วยดอกเบี้ย ต่อมานาย จ.ได้มีหนังสือถึงโจทก์ยอมตกลงที่จะให้โจทก์ซื้อหุ้นคืนได้ เมื่อนาย จ.ถึงแก่กรรม โจทก์แจ้งจำเลยทั้งสามในฐานะผู้จัดการมรดกที่จะซื้อหุ้นคืน แต่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้โอนหุ้นแบ่งปันให้ทายาทอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการโอนหุ้นให้โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันโอนหุ้นของบริษัทที่โจทก์โอนให้นาย จ.ไปรวม ๕,๒๙๕ หุ้นให้แก่โจทก์ และรับเงิน ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท ถ้าไม่สามารถโอนหุ้นได้ให้นำเงินจากกองมรดกจำนวน ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท ชดใช้ค่าเสียหาย ถ้าไม่ปฏิบัติตามให้เอาทรัพย์สินจากกองมรดกขายทอดตลาดเอาเงิน ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาทมาใช้ให้โจทก์ ถ้าบังคับตามคำขอไม่ได้ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท ในฐานะส่วนตัวและรับเงิน ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาทไป ให้จำเลยทั้งสามนำเงินจากกองมรดกใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ถ้าไม่มีเงินในกองมรดกพอนำมาชำระได้ ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ รับผิดชดใช้เป็นส่วนตัว
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การว่า การที่โจทก์แสดงความประสงค์ว่าถ้าภายหน้าเมื่อใด โจทก์พร้อมก็อยากจะขอซื้อหุ้นคืนในราคาที่โอนไปบวกด้วยดอกเบี้ย เป็นเพียงการแสดงความปรารถนาที่อยากจะซื้อหุ้นคืนในภายหน้า การแสดงเจตนาของนาย จ.สิ้นสุดลงเมื่อนาย จ.ถึงแก่กรรมการแจ้งความประสงค์ของโจทก์ไม่มีผลตามกฎหมาย การโอนหุ้นนาย จ.ให้ทายาทอื่นชอบด้วยกฎหมายขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นิติกรรมซื้อขายเกิดขึ้นภายหลังนาย จ.ถึงแก่กรรมไปแล้วจึงไม่ผูกพันนาย จ.และทายาท จำเลยทั้งสามไม่มีหน้าที่ต้องโอนหุ้นคืนให้โจทก์ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันโอนหุ้นของบริษัทตามคำขอท้ายฟ้องรวม ๔,๙๗๔ หุ้นให้แก่โจทก์และรับเงิน ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาทจากโจทก์ ถ้าไม่สามารถโอนหุ้นได้ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันนำเงินจากกองมรดกของนาย จ.หรือนำทรัพย์สินจากกองมรดกออกขายทอดตลาดเพื่อชำระเงิน ๒๔,๐๙๒,๕๒๐.๖๑ บาท ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ หากไม่สามารถปฏิบัติตามได้ ให้จำเลยที่ ๑และที่ ๒ ร่วมกันรับผิดชดใช้จำนวนเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ในฐานะส่วนตัว กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันนำเงินจากกองมรดกมาชำระค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ หากไม่สามารถชำระได้ ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ร่วมกันรับผิดชดใช้เป็นส่วนตัว
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงยุติว่า โจทก์เป็นบุตรของนายจุติ บุญสูง จำเลยทั้งสามเป็นผู้จัดการมรดกของนายจุติ ก่อนนายจุติถึงแก่กรรมโจทก์ได้เป็นหนี้นายจุติและไม่สามารถนำเงินมาใช้คืนนายจุติได้ โจทก์จึงได้เสนอโอนหุ้นในบริษัทต่าง ๆ รวม๕ บริษัท ให้กับนายจุติเป็นการชำระหนี้ตามเอกสารหมาย จ.๑๓ ที่โจทก์มีไปถึงนายจุติ และนายจุติได้ตอบตกลงรับโอนหุ้นเป็นการชำระหนี้เงินกู้ตามเอกสารหมาย จ.๑๕ ที่นายจุติมีไปถึงโจทก์ ต่อมาได้มีการโอนหุ้นมาเป็นของนายจุติ หลังจากนายจุติถึงแก่กรรม โจทก์ขอให้จำเลยทั้งสามในฐานะผู้จัดการมรดกของนายจุติโอนหุ้นทั้ง ๕ บริษัท ที่นายจุติรับโอนไปจากโจทก์คืนพร้อมกับรับเงินจำนวน๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่โอนให้ ปัญหามีว่า เอกสารหมาย จ.๑๓ และ จ.๑๕ นั้นมีผลเป็นสัญญาซื้อขายหุ้นที่นายจุติรับโอนมาจากโจทก์อันผู้จัดการมรดกของนายจุติต้องผูกพันหรือไม่เห็นว่า ตามเอกสารหมาย จ.๑๓ คงมีความที่ปรากฏในข้อ ๔ ที่ว่า “ผมยังหวังที่จะกลับมามีส่วนในครอบครัวต่อไปภายหน้า ถ้าเป็นไปได้เมื่อไหร่ที่ผมพร้อม ผมอยากจะขอซื้อหุ้นเหล่านี้กลับคืนโดยที่ผมยินยอมที่จะซื้อคืนมาในราคาที่โอนไปบวกดอกเบี้ยตามอัตราที่ป๋าหรือสมาชิกของครอบครัวจะกำหนดให้” นั้น จะถือเป็นคำเสนอขอซื้อหุ้นของโจทก์หรือไม่ ข้อความดังกล่าวไม่ปรากฏให้เห็นว่าเป็นการแสดงเจตนาแสดงความประสงค์ของโจทก์ในลักษณะที่เป็นคำขอให้นายจุติทำสัญญาด้วย และข้อความที่ว่า “ถ้าเป็นไปได้เมื่อไหร่ที่ผมพร้อม ผมอยากจะซื้อหุ้นเหล่านี้กลับคืน” ก็เป็นข้อที่ไม่เป็นการชัดเจนแน่นอนว่า ข้อที่จะทำให้เกิดหรือมีขึ้นคือการซื้อหุ้นนั้นจะมีทางเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่เมื่อใด และเมื่อพิจารณาถึงข้อความที่ปรากฏในตอนต้นของข้อ ๔ ที่ว่า “ผมยังหวังที่จะกลับมามีส่วนในครอบครัวต่อไปภายหน้า” แล้ว ทำให้เห็นได้เป็นการแน่นอนขึ้นว่าเป็นเรื่องของการที่โจทก์คาดหวังไว้ล่วงหน้าถ้ามีโอกาสก็จะทำอย่างนั้น ซึ่งในขณะที่ทำเอกสารหมาย จ.๑๓ นั้น โจทก์เองก็ยังไม่รู้ว่าโอกาสเช่นนั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ ตามความในสัญญาข้อ ๕.๒ ที่ว่า “ขอทราบอัตราดอกเบี้ยต่อปีที่จะคิด ถ้าผมต้องการที่จะซื้อหุ้นเหล่านื้กลับคืนมา” ทำให้เห็นว่าในขณะที่ทำเอกสารหมาย จ.๑๓ นั้นโจทก์ยังไม่มีเจตนาที่เป็นการแน่นอนเกี่ยวกับหุ้นที่นายจุติรับโอนให้ว่าจะซื้อคืนหรือไม่ อีกทั้งเมื่อโจทก์ทำเอกสารหมายจ.๑๓ นั้น ยังไม่เป็นการแน่นอนว่านายจุติจะรับโอนหุ้นที่โจทก์อ้างถึงเป็นการชำระหนี้หรือไม่และยังไม่ได้มีการโอนหุ้นไปเป็นของนายจุติ ตอนนั้นจึงต้องถือว่าเรื่องการโอนหุ้นเป็นการชำระหนี้เป็นเรื่องอนาคต ดังนั้นในเรื่องหุ้นที่โจทก์โอนให้นายจุติไปแล้วนั้น ข้อความที่ปรากฏในเอกสารหมาย จ.๑๓ถือไม่ได้ว่าเป็นคำเสนอที่โจทก์ขอซื้อหุ้นคืนจากนายจุติ เป็นเพียงข้อปรารถถึงสิ่งที่โจทก์คาดหวังไว้ในอนาคตเท่านั้น ไม่มีผลที่จะผูกนิติสัมพันธ์อย่างใดกับผู้ที่ได้รับการปรารถเช่นนั้น ในเมื่อเอกสารหมาย จ.๑๓ มิใช่คำเสนอขอซื้อหุ้นแล้ว หนังสือของนายจุติตามเอกสารหมาย จ.๑๕ ข้อ ๔ที่ว่า “ตามที่แตง (หมายถึงโจทก์) ประสงค์จะขอซื้อหุ้นกลับคืนต่อภายหน้าเมื่อการเงินสะดวกนั้นไม่ขัดข้องแต่อย่างใดเลย จะโอนให้ทันทีโดยไม่เรียกร้องผลประโยชน์หรือดอกเบี้ย “ตอนท้ายที่ว่า”ป๋าพิจารณาแล้วเห็นเป็นการสมควรเพื่อความสะดวกเมื่อเวลาโอนหุ้นกลับคืนให้แตงจะคิดเป็นจำนวนเงินเพียง ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท (เจ็ดล้าน) บาท เท่านั้น” และที่ว่า “การซื้อหุ้นกลับคืนดอกเบี้ยไม่คิด” นั้นจึงมิใช่คำสนองตอบคำเสนอของโจทก์ที่จะมีผลเป็นสัญญาซื้อขายหุ้นที่โจทก์โอนให้นายจุติ อาจจะถือได้ก็เพียงแต่เป็นคำเสนอของนายจุติในการที่จะโอนหุ้นให้โจทก์กลับคืนโดยคิดเงินจากโจทก์ ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามที่โจทก์ตั้งความหวังไว้และปรารถถึงความหวังนั้นให้นายจุติทราบในเอกสารหมาย จ.๑๓ ข้อ ๔ เท่านั้น นายจุติทำเอกสารหมาย จ.๑๕ ไปถึงโจทก์ตั้งแต่ปี ๒๕๑๘ โจทก์ได้รับเอกสารหมาย จ.๑๕ แล้วก็มิได้กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดหรือแสดงเจตนาใดให้ปรากฏกับนายจุติในเรื่องนี้ จนเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๕ ซึ่งนายจุติได้ถึงแก่กรรม เอกสารหมาย จ.๑๕ ซึ่งอาจจะถือว่าเป็นคำเสนอนั้นจึงสิ้นความผูกพันโจทก์จึงไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะเรียกร้องให้ผู้จัดการมรดกของนายจุติโอนหุ้นให้และรับเงินจากโจทก์ได้
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์.

Share