คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1370/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นคนใช้ปืนยิงผู้ตาย จำเลยที่ 2,3 มีอาวุธ โดดจากเรือนไปพร้อมจำเลยที่ 1 แสดงว่าจำเลยที่ 2,3 รู้เห็นมีเจตนาร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่1 การที่จำเลยที่ 2,3 มีอาวุธ แสดงว่าจำเลยที่2,3 พร้อมที่จะช่วยจำเลยที่ 1 ได้ทันที เมื่อจำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายแล้ว ตอนหนีกลับจำเลยทั้งสามยังหนีกลับมาทางเดียวพร้อมกันอีกจึงนับว่าจำเลยที่ 2,3ได้ร่วมกันกระทำความผิดด้วยกับจำเลยที่ 1 เป็นตัวการฆ่าผู้ตายด้วยกัน
โทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 กับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 กำหนดไว้เท่ากัน การที่จะใช้กฎหมายใหม่ขึ้นบังคับปรับบทก็ไม่เป็นคุณแก่จำเลยผู้กระทำผิดแต่อย่างใด ศาลจึงต้องใช้กฎหมายลักษณะอาญาปรับบทลงโทษจำเลย(อ้างฎีกาที่ 1630/2500,1814/2500)

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ โจทก์ฟ้องจำเลยต่างคนกัน แต่ข้อหาอย่างเดียวกันมีใจความว่าเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2497 จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายน้อย ศรีทองคูณ หนึ่งนัดโดยเจตนาฆ่า นายน้อยถึงแก่ความตายขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249, 63 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 83 ไว้คนละ 15 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ฟังว่า นายอั้นจำเลยที่ 1 ใช้ปืนยิงผู้ตาย นายแว นายใหมจำเลยที่ 2, 3 ไม่ได้ร่วมมือร่วมใจกับจำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2, 3

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสาม

จำเลยที่ 1 ฎีกาขอให้ยกฟ้อง

ศาลฎีกาฟังว่า จำเลยที่ 1 เป็นคนใช้ปืนยิงนายน้อยถึงแก่ความตายจริงโดยจำเลยที่ 2, 3 มีอาวุธร่วมโดจากเรือนไปพร้อมกับจำเลยที่ 1 ด้วย แม้จำเลยที่ 2, 3 จะไม่ใช่เป็นผู้ยิงหรือใช้อาวุธทำร้ายผู้ตาย แต่การที่จำเลยทั้งสามโดดลงจากเรือนนางบัวไปพร้อมกัน จนทำให้นางบัวตกใจกลัววิ่งเข้าเรือน แสดงว่าจำเลยที่ 2, 3 ก็ได้รู้เห็นมีเจตนาร่วมกันกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 แล้วอนึ่ง นอกจากจำเลยที่ 1 ถือปืนยาวลงไปด้วยแล้ว จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็มีอาวุธมีดและขวานติดตัวไปด้วย ซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 2, 3 พร้อมที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ได้ทันทีอยู่แล้ว และเมื่อจำเลยที่ 1 ยิงนายน้อยแล้ว ตอนหนีกลับจำเลยทั้งสามยังหนีกลับมาทางเดียวพร้อมกันอีก จึงนับว่าจำเลยที่ 2, 3 ได้ร่วมกันกระทำความผิดด้วยกับจำเลยที่ 1 คือเป็นตัวการฆ่านายน้อยตายด้วยกัน อันเป็นความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249, 63

คดีนี้ จำเลยกระทำผิดเมื่อกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 ยังใช้บังคับอยู่ โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2499 ใช้บังคับแล้ว แต่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 และทั้งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ด้วย ซึ่งต่างก็มีอัตราโทษให้ประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปีเท่ากัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำผิดไม่ว่าในทางใด ฯลฯ แต่คดีนี้โทษตามกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 249 กับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 กำหนดไว้เท่ากันการที่จะใช้กฎหมายใหม่บังคับปรับโทษ ก็ไม่เป็นคุณแก่จำเลยผู้กระทำผิดแต่อย่างใด ศาลจึงต้องใช้กฎหมายลักษณะอาญาปรับบทลงโทษจำเลย แต่จำเลยที่ 3 ให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา สมควรได้รับการบรรเทาโทษ

จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 และมาตรา 63 ให้จำคุกจำเลยคนละ 15 ปี ลดโทษให้จำเลยที่ 3 หนึ่งในสาม ตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 59 คงจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 10 ปี นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share