คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3185/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524มาตรา 53 มีไว้เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้เช่านาให้มีสิทธิซื้อนาที่เช่าได้ก่อนบุคคลอื่น และสิทธิดังกล่าวย่อมมีอยู่ไม่ว่านาพิพาทจะโอนไปยังบุคคลใด ตาม มาตรา 53 ดังนั้นการที่ผู้ให้เช่านามิได้แจ้งให้ผู้เช่านามีโอกาสซื้อนาได้ก่อนจึงไม่ทำให้สัญญาจะซื้อจะขายที่นาพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยตกเป็นโมฆะ ข้อกล่าวอ้างเกี่ยวกับเงื่อนไขแห่งสัญญาจะซื้อจะขายจำเลยไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก คดีอื่น ปัญหาซึ่งเป็นประเด็นพิพาทแตกต่างจากคดีนี้และคู่ความต่างกัน การวินิจฉัยคดีนี้ต้องขึ้นกับพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนโดยชอบด้วยวิธีพิจารณาความแพ่ง คำพิพากษาในคดีอื่นที่จำเลยอ้างถึงเกิดขึ้นหลักจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีนี้จึงไม่ทำให้ผลของคดีนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ส่วนผลของคดีเป็นอย่างไรชอบที่จะไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์ และตกลงโอนกรรมสิทธิ์เมื่อชำระราคาครบถ้วนโจทก์ชำระราคาที่ดินครบแล้ว จำเลยไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ขอให้จำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 9667ตำบลคลองหกวาสายบนฝั่นเหนือ อำเภอบางปะอินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ 19 ไร่ 2 งาน ให้แก่โจทก์ในราคา 62,400 บาท หากไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า จำเลยทำสัญญาจะขายที่พิพาท ให้แก่โจทก์จริงที่พิพาทเป็นที่นาและมีนายณรงค์ นางละเมียด ตรีนิมิตรเช่าทำอยู่ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524บังคับให้จำเลยต้องบอกขายแก่ผู้เช่านาเพื่อให้ผู้เช่านามีสิทธิ์ซื้อก่อน ซึ่งผู้เช่านาได้แจ้งความประสงค์ว่าจะซื้อที่พิพาทจากจำเลยแล้ว จึงไม่สามารถจะโอนย้ายที่พิพาทให้แก่โจทก์ได้จำเลยยินยอมคืนเงิน 62,400 บาท แต่โจทก์ไม่ยอมรับคืนจำเลยมิได้ผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินตามโฉนดเลขที่ 9667 ตำบลคลองหกวาสายบนฝั่งเหนือ อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเฉพาะส่วนของจำเลย เนื้อที่ 19 ไร่ 2 งาน ให้แก่โจทก์ในราคา62,400 บาท หากจำเลยไม่ยอมไปดำเนินการก็ให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยตกลงขายที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยตามโฉนดเลขที่ 9667 ตำบลคลองหกวาสายบนฝั่งเหนืออำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คิดเป็นเนื้อที่ 19 ไร่2 งาน คือที่พิพาทแก่โจทก์ และจำเลยได้รับค่าที่ดินจากโจทก์ครบถ้วนแล้วแต่ยังมิได้โอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์ ซึ่งที่พิพาทมีนายณรงค์กับนางละเมียดเช่าทำนา การขายที่ดินพิพาทจำเลยมิได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้เช่านาพิพาททราบเพื่อใช้สิทธิแสดงความจำนงจะซื้อนาได้ก่อนตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 มาตรา 53 และวินิจฉัยว่าบทบัญญัติตามมาตรา 53 มีไว้เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้เช่านาให้มีสิทธิที่จะซื้อนาพิพาทที่เช่าจากผู้ให้เช่าได้ก่อนบุคคลอื่นสิทธิดังกล่าวย่อมมีอยู่ไม่ว่านาพิพาทจะโอนไปยังบุคคลใดก็ตามดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติในมาตรา 54 ที่บัญญัติทางแก้ไว้ว่าถ้าผู้ให้เช่านาขายนาไปโดยมิได้ปฏิบัติตาม มาตรา 53 ไม่ว่านานั้นจะถูกโอนต่อไปยังผู้ใด ผู้เช่านามีสิทธิซื้อนาจากผู้รับโอนนั้นตามราคาและวิธีการชำระเงินที่ผู้รับโอนซื้อไว้หรือตามราคาตลาดในขณะนั้นแล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่ากัน แต่ทั้งนี้ผู้เช่านาจะต้องใช้สิทธิซื้อนาดังกล่าวภายในกำหนดเวลาสองปีนับแต่วันที่ผู้เช่านารู้หรือควรจะรู้ หรือภายในกำหนดเวลาสามปีนับแต่ผู้ให้เช่านาโอนนานั้น และบัญญัติไว้ในวรรคสองว่า ถ้าผู้รับโอนตามวรรคหนึ่งไม่ยอมขายนาให้แก่ผู้เช่านา ผู้เช่านาอาจร้องขอต่อคชก.ตำบลเพื่อวินิจฉัยให้ผู้นั้นขายนาได้ ดังนั้น การที่ผู้ให้เช่านามีโอกาสซื้อนาได้ก่อนจึงไม่ทำให้สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยตกเป็นโมฆะ ส่วนข้อที่จำเลยกล่าวอ้างเกี่ยวกับเงื่อนไขแห่งสัญญาจะซื้อจะขายที่ไม่ได้ต่อสู้ไว้ในคำให้การเป็นข้อเท็จจริงทีจำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยและวินิจฉัยว่า คดีอื่นไม่ใช่คดีนี้ปัญหาซึ่งเป็นประเด็นพิพาทแตกต่างจากคดีนี้และคู่ความต่างกันการวินิจฉัยคดีนี้ต้องขึ้นกับพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนคดีนี้โดยชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง คำพิพากษาในคดีอื่นที่จำเลยอ้างถึงเกิดขึ้นหลักจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดีนี้จึงไม่ทำให้ผลของคดีนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ส่วนผลของแต่ละคดีเป็นอย่างไรชอบที่จะไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดีต่อไป
พิพากษายืน

Share