แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยออกเช็คพิพาทให้ผู้เสียหายเมื่อเดือนธันวาคม 2528 สั่งจ่ายเงินในวันที่ 15 มกราคม 2528 และผู้เสียหายนำเช็คพิพาทไปเบิกเงินจากธนาคารตามเช็คในวันที่4 เมษายน 2528 ในวันเดียวกันเวลากลางวัน ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค วันที่ความผิดเกิดก็คือวันที่ 4 เมษายน 2528ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งเป็นวันที่ย้อนหลังจากวันที่จำเลยมอบเช็คให้ผู้เสียหาย จึงเป็นไปไม่ได้ที่วันที่กระทำผิดจะเกิดก่อนวันที่จำเลยมอบเช็คพิพาทให้ผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องจึงไม่เป็นความผิด กรณีเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลพิพากษายกฟ้องได้โดยไม่จำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497 มาตรา 3
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497 จำคุก 4 เดือนคำรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสามจำคุก 2 เดือน20 วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘ในการที่ศาลจะพิพากษาคดีนั้นจะต้องตรวจคำฟ้องของโจทก์เสียก่อนว่าเป็นฟ้องที่บรรยายให้เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497 มาตรา 3 หรือไม่เมื่อฟ้องคดีนี้โจทก์บรรยายว่าจำเลยออกเช็คพิพาทให้ผู้เสียหายเมื่อเดือนธันวาคม2528 สั่งจ่ายเงินในวันที่ 15 มกราคม 2528 และผู้เสียหายนำเช็คพิพาทไปเบิกเงินจากธนาคารตามเช็คในวันที่ 4 เมษายน 2528ในวันเดียวกันเวลากลางวัน ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ควันที่ความผิดเกิดก็คือวันที่ 4 เมษายน 2528 ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินซึ่งเป็นวันที่ย้อนหลังจากวันที่จำเลยมอบเช็คให้ผู้เสียหายจึงเป็นไปไม่ได้ที่วันที่กระทำผิดจะเกิดก่อนวันที่จำเลยมอบเช็คพิพาทให้ผู้เสียหายการกระทำของจำเลยที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่75/2503 ระหว่างพนักงานอัยการกรมอัยการโจทก์นายอำพันธ์ แมนผดุงจำเลยฟ้องที่ไม่เป็นความผิดเช่นนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 185 ได้โดยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวน และไม่ใช่เป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเวลากระทำความผิดที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับเวลากระทำความผิดที่กล่าวในฟ้องซึ่งจำเลยมิได้หลงต่อสู้ที่จะถือว่ามิใช่ข้อสาระสำคัญและสามารถลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 ดังโจทก์ฎีกาศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน’.