คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3174/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์จะทำหนังสือให้ความยินยอมรับสภาพหนี้ที่ ธ. ซึ่งเป็นลูกจ้างโจทก์และเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์เพราะถูกโจทก์ข่มขู่อันจะเป็นเหตุให้หนังสือให้ความยินยอมตกเป็นโมฆียะกรรมก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้บอกล้างหนังสือให้ความยินยอมภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้หนังสือให้ความยินยอมย่อมมีผลใช้บังคับ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดตามที่ได้ทำหนังสือให้ความยินยอมไว้ และเมื่อหนี้ตามหนังสือให้ความยินยอมดังกล่าวไม่มีกำหนดเวลาให้จำเลยที่ 1 ชำระไว้เป็นการแน่นอน ทั้งการที่กำหนดให้โจทก์ไปดำเนินการเรียกร้องจาก ธ.และธนาคาร อ. ก่อน แล้วจำเลยที่ 1 จะชำระส่วนที่เรียกร้องไม่ได้ก็หาเป็นการที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ 1ผู้เป็นลูกหนี้แต่อย่างใดไม่ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันความรับผิดของจำเลยที่ 1 ที่มีต่อโจทก์ จึงไม่หลุดพ้นจากความรับผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นพนักงานของโจทก์ จำเลยที่ 2ค้ำประกันการเข้าเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ละเลยการปฏิบัติตามหน้าที่และระเบียบทำให้นายธีระทุจริตยักยอกเงินค่ากระแสไฟฟ้าของโจทก์ไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว 1,030,992.73 บาทซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้โจทก์ 822,685.68 บาท จำเลยที่ 1ยอมรับผิดและได้ทำหนังสือยอมรับสภาพหนี้ ยอมชดใช้เงินที่นายธีระทุจริตไปทั้งหมดโดยให้โจทก์ดำเนินการเรียกร้องจากนายธีระและธนาคารเอเชียทรัสท์ จำกัด สาขาภูเก็ต ก่อน จำเลยที่ 1 จะชำระส่วนที่เรียกร้องไม่ได้ โจทก์ได้ดำเนินคดีแก่นายธีระและธนาคารดังกล่าวแล้วแต่ไม่สามารถเรียกร้องได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,089,715.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปีในต้นเงิน 822,685.60 บาท นับแต่วันฟ้อง
จำเลยทั้งสองให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ 1 ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบที่โจทก์กำหนดไว้ จำเลยที่ 1 มิได้ร่วมรู้เห็นหรือร่วมทำการทุจริตกับนายธีระ จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดในการกระทำของนายธีระ จำเลยที่ 1 ทำหนังสือให้ความยินยอมเพราะถูกโจทก์ข่มขู่ และโจทก์ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยจำเลยที่ 2 มิได้รับรู้หรือตกลงยอมด้วย จำเลยที่ 2 ย่อมหลุดพ้นจากความรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินให้โจทก์1,089,715.63 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน822,685.60 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นข้อแรกว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดในความเสียหายที่นายธีระ ตันสกุล ก่อให้เกิดขึ้นแก่โจทก์ตามที่ได้ทำหนังสือยินยอมไว้หรือไม่ เห็นว่า แม้จะฟังว่าจำเลยที่ 1 ทำหนังสือให้ความยินยอมตามเอกสารหมาย ล.3 หรือ จ.5 เพราะถูกโจทก์ข่มขู่อันจะเป็นเหตุให้หนังสือให้ความยินยอมตกเป็นโมฆียะกรรม แต่ภายหลังจากทำและพ้นจากการถูกข่มขู่แล้วจำเลยที่ 1 ก็หาได้เคยบอกล้างหนังสือให้ความยินยอมนั้นต่อโจทก์ไม่ เมื่อไม่มีการบอกล้างหนังสือให้ความยินยอมภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ หนังสือให้ความยินยอมจึงมีผลใช้บังคับจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดในความเสียหายที่นายธีระก่อให้เกิดขึ้นแก่โจทก์ตามที่ได้ทำหนังสือยินยอมไว้ จำเลยที่ 1 จะทำหนังสือให้ความยินยอมเพราะถูกโจทก์ข่มขู่หรือไม่จึงไม่จำต้องวินิจฉัย
ข้อสุดท้ายที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 ทำให้จำเลยที่ 2 หลุดพ้นจากความรับผิดนั้น เห็นว่าหนี้ตามหนังสือให้ความยินยอมเอกสารหมาย ล.3 หรือ จ.5 นั้น หาได้มีกำหนดเวลาให้จำเลยที่ 1 ชำระไว้เป็นการแน่นอนแต่อย่างใดไม่ ทั้งการที่กำหนดให้โจทก์ไปดำเนินการเรียกร้องจากนายธีระ ตันสกุล และธนาคารเอเชียทรัสท์ จำกัด สาขาภูเก็ต ก่อน แล้วจำเลยที่ 1จะชำระส่วนที่เรียกร้องไม่ได้ก็หาเป็นการที่โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่จำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้แต่อย่างใดไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share