คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3173/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยได้ตกลงท้ากันมีข้อความว่า ให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดตรวจสอบที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) หากผลการรังวัดปรากฏว่ามีสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ของจำเลยอยู่ในแนวเขตที่ดินดังกล่าว จำเลย ยอมถือว่าเป็นที่ดินของโจทก์ ยอมขนย้ายข้าวของและบริวารออกไปจาก เขตที่ดินดังกล่าวทันที หากผลการรังวัดปรากฏว่าบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยอยู่อาศัยไม่ได้อยู่ในที่ดินดังกล่าว โจทก์ยอมถอนฟ้อง และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับบ้านพิพาทอีกต่อไปตามคำท้าดังกล่าว คำว่า “สิ่งปลูกสร้างใด ๆ ของจำเลยอยู่ในแนวเขตที่ดิน” หมายถึงต้องเป็นบ้านเรือนที่จำเลยอยู่อาศัยทั้งหลังอยู่ในแนวเขตที่ดิน ไม่ใช่ล้ำเข้าไปในแนวเขตที่ดินเพียง ส่วนใดส่วนหนึ่ง เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า บ้านเรือนที่จำเลยอยู่อาศัย ไม่ได้อยู่ในแนวเขตที่ดินของโจทก์ เพียงแต่ล้ำแนวเขตที่ดินเพียง 2 ตารางวาเท่านั้น โจทก์จึงต้องแพ้คดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารขนย้ายสัมภาระออกไปจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1726 และบ้านพิพาทและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายสัมภาระออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาท

จำเลยให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง

ก่อนสืบพยาน คู่ความตกลงท้ากันให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดตรวจสอบที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1726 ตามเอกสารหมาย จ.1 หากผลการรังวัดปรากฏว่ามีสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ของจำเลยอยู่ในแนวเขตที่ดินดังกล่าว จำเลยยอมถือว่าเป็นที่ดินของโจทก์ และยอมขนย้ายข้าวของและบริวารออกไปจากเขตที่ดินดังกล่าวทันที กับยอมเสียค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายข้าวของและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ หากผลการรังวัดปรากฏว่าบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้าง ที่จำเลยอยู่อาศัยไม่ได้อยู่ในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1726 โจทก์ยอมถอนฟ้อง และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับบ้านพิพาทอีกต่อไป

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า จากผลการรังวัดตรวจสอบปรากฏว่าบ้านเลขที่ 22 หมู่ที่ 5 ได้ปลูกล้ำที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 1726 เนื้อที่ 0 – 0 – 02 ไร่ ซึ่งสมกับคำท้าของฝ่ายโจทก์มีผลให้บ้านพิพาทเป็นของโจทก์ พิพากษาให้จำเลยและบริวารขนย้ายข้าวของและสัมภาระออกไปจากบ้านพิพาท และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ500 บาท นับแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2538 (วันฟ้อง) จนกว่าจำเลยและบริวารจะขนย้ายข้าวของและสัมภาระออกไปจากที่ดินและบ้านพิพาท

จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์จำเลยได้ตกลงท้ากันมีข้อความว่า ให้เจ้าพนักงานที่ดินไปรังวัดตรวจสอบที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1726 หากผลการรังวัดปรากฏว่ามีสิ่งปลูกสร้างใด ๆ ของจำเลยอยู่ในแนวเขตที่ดินดังกล่าว จำเลยยอมถือว่าเป็นที่ดินของโจทก์ ยอมขนย้ายข้าวของและบริวารออกไปจากเขตที่ดินดังกล่าวทันทีกับยอมเสียค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 500 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะขนย้ายข้าวของและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ หากผลการรังวัดปรากฏว่าบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยอยู่อาศัยไม่ได้อยู่ในที่ดินดังกล่าว โจทก์ยอมถอนฟ้อง และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับบ้านพิพาทอีกต่อไป ผลการรังวัดตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย จ.ล.1 ปรากฏว่าบ้านเลขที่ 22 ที่จำเลยอยู่อาศัยปลูกล้ำเข้าไปในแนวเขตที่ดินของโจทก์เพียง 2 ตารางวา

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลล่างทั้งสองพิพากษาตรงตามคำท้าหรือไม่ เห็นว่า ตามคำท้าของคู่ความดังกล่าว คำว่า “สิ่งปลูกสร้างใด ๆ ของจำเลยอยู่ในแนวเขตที่ดิน” น่าจะหมายถึงบ้านเรือนที่จำเลยอยู่อาศัยทั้งหลัง โดยจะพิจารณาได้จากข้อความที่ตกลงท้ากันตอนต่อไปที่ว่า หากผลการรังวัดปรากฏว่า บ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยอยู่อาศัยไม่ได้อยู่ในที่ดินดังกล่าวโจทก์ยอมถอนฟ้อง และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับบ้านพิพาทอีกต่อไป แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยที่ท้ากันกับโจทก์ว่าต้องเป็นบ้านเรือนที่จำเลยอยู่อาศัยทั้งหลังอยู่ในแนวเขตที่ดินไม่ใช่ล้ำเข้าไปในแนวเขตที่ดินเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าบ้านเรือนที่จำเลยอยู่อาศัยไม่ได้อยู่ในแนวเขตที่ดินของโจทก์ เพียงแต่ล้ำแนวเขตที่ดินเพียง 2 ตารางวา เท่านั้น โจทก์จึงต้องแพ้คดี โจทก์ไม่ถอนฟ้อง ศาลก็พิพากษายกฟ้อง

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share